คนที่เพิ่งมาไม่เหมือนกับหลายคนก่อนหน้านี้ที่กิริยาท่าทางกระด้างหยาบคาย เขาดูเป็นชายหนุ่มผู้ดีมีตระกูลวัยไล่เลี่ยกับตนเอง อีกทั้งยังแต่งตัวแบบชาวตะวันตกเหมือนกัน เยี่ยเสียนฉีจึงหยุดฝีเท้า
คนที่ชื่อ ‘เป้าจื่อ’ อธิบายสั้นๆ จบแล้วพูดว่า “พรรคพวกข้างล่างเรียกผม ผมเลยต้องลงไปสอบถามนิดหน่อย รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณชายหวังแล้ว ผมไม่ดีเองครับ” ว่าแล้วก็เบือนหน้าไปตะคอกสั่ง “ยังไม่ไล่ไปอีก”
เยี่ยเสียนฉีรีบถอยกลับมา ตะโกนพูดเสียงดัง “คุณชายหวังครับ ผมเห็นคุณก็เป็นคนสุภาพมีมารยาท พวกเราออกมาอยู่ต่างบ้านต่างถิ่น เหมือนคำพูดที่ว่าเพื่อนพ้องใต้ฟ้าเดียวกันล้วนเป็นคนในครอบครัว มีอะไรช่วยกันได้ก็ช่วยๆ กันไป จริงไหมครับ ลูกพี่ลูกน้องของผมร่างกายอ่อนแอ ก่อนออกจากบ้านผมรับปากคุณอาไว้ว่าระหว่างทางจะดูแลเขาให้ดีๆ ถ้าสองห้องไม่ได้ ห้องเดียวก็ยังดีครับ ผมจะให้น้องผม…”
คุณชายหวังชำเลืองมองเยี่ยเสียนฉีแล้วยกมือห้ามคนที่จะเข้ามาไล่เขา
“เคยไปเรียนต่อต่างประเทศหรือ”
“ใช่ครับ เรียนแพทย์ที่ตงหยาง”
คุณชายหวังมองสำรวจเขาอึดใจหนึ่ง ก่อนถามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “เล่นไพ่บริดจ์ เป็นไหม”
เยี่ยเสียนฉีอึ้งงันไป จากนั้นก็คิดตามทันได้ทันควัน “เป็นครับ”
คุณชายหวังดีดนิ้วทีหนึ่ง เบือนหน้าไปบอกกับเป้าจื่อ “ถึงอย่างไรก็มีห้องว่าง ให้พวกเขาขึ้นมาเถอะ”
เป้าจื่อชะงักไป “คุณชายหวัง แบบนี้ไม่ได้นะครับ ทางท่านสี่…”
“ผมจะบอกให้พี่สี่รู้เอง! ยังต้องเดินทางอีกตั้งหลายวัน จะไม่ให้ผมหาอะไรทำฆ่าเวลาเลยเหรอ ยังขาดขาหนึ่ง แล้วพี่สี่ก็ไม่เล่นเอง” คุณชายหวังพูดแล้วเดินออกไป
เยี่ยเสียนฉีดีใจยกใหญ่ เขาทิ้งเป้าจื่อที่ยังทำหน้าไม่เต็มใจไว้ที่เดิมแล้วสาวเท้าเร็วๆ จนแทบจะกระโดด พอลงบันไดไปก็เจอคนกำลังตามหาเขาไปทุกที่พอดี แต่เขาไม่ฟังอีกฝ่ายพูดจนจบก็วิ่งกลับไปที่ห้องพัก
ผู้หญิงข้างห้องที่ยังนอนหลับอยู่คนนั้นตื่นขึ้นเพราะเสียงวุ่นวายอึกทึกจากห้องติดกัน เธอคว้าเสื้อคลุมเปิดประตูออกมา พอเห็นพวกเขาจะแลกห้องกับชายโสดคนหนึ่งก็แค่นเสียงขึ้นจมูก “ทำเสียงดังโครมครามขนาดนี้ คนไม่รู้อะไรยังนึกว่าจะขึ้นไปชั้นบนแล้ว”
ซูจงมาจากตระกูลพ่อค้า ทั้งยังพานายน้อยสองคนออกมาข้างนอก เป็นธรรมดาที่ไม่อยากมีเรื่องกับใคร เขาตั้งท่าจะพูดตัดบท
ด้านเยี่ยเสียนฉีกลับทำเสียงเยาะเย้ย “จะบอกให้นะ ฉันกำลังย้ายขึ้นไปอยู่บนหัวแกแล้ว” จากนั้นหันหน้าไปพูดกับซูเสวี่ยจื้อ “ไปเถอะ พวกเราย้ายไปพักชั้นบนกัน” พูดจบก็ตะโกนบอกคนให้ยกของ
ซูจงลุกลนดึงเขาไปด้านข้างซักถามให้รู้เรื่อง
เยี่ยเสียนฉีกระแอมให้คอโล่ง “เมื่อครู่นี้ผมดูวิวอยู่ข้างนอก ได้ยินเสียงคนเรียกผมจากด้านบน ลุงจงว่าบังเอิญไหม คุณชายหวังที่เหมาชั้นบนทั้งชั้นเป็นเพื่อนนักเรียนตอนผมเรียนอยู่ตงหยาง พอรู้ว่าผมกับลูกพี่ลูกน้องอยู่เรือลำเดียวกันก็เชิญพวกเราย้ายขึ้นไปพักด้วย” เห็นผู้หญิงคนนั้นปิดปากเงียบอย่างประหลาดใจ ยังมีอาฝูที่เยี่ยมหน้าออกมาจากหลังประตูครึ่งหนึ่งทำสีหน้าอิจฉาทางหางตา เขาก็สาแก่ใจจนเกือบแหงนหน้าหัวเราะร่า
เมื่อครู่นอกจากซูจงจะรู้สึกเหนือคาดและยังกังวลใจเล็กน้อยว่าคนชั้นบนอาจไม่ใช่คนดี กลัวว่าอาจจะเกิดปัญหาขึ้น พอได้ยินนายน้อยเยี่ยเล่าอย่างเต็มปากเต็มคำก็เชื่อว่าเป็นความจริงจึงสบายใจ
ไม่ต้องพูดถึงว่าผนังกั้นเสียงในห้องพักชั้นสองเป็นเช่นไร ยังมีคนมากหน้าหลายตาจากทุกสารทิศเข้าๆ ออกๆ สับสนวุ่นวายมาก นายน้อยเยี่ยพบกับเพื่อนนักเรียนอย่างบังเอิญ ทำให้นายน้อยของเขาได้ย้ายตามไปพักในสถานที่เงียบสงบและปลอดภัยมากกว่า ซูจงย่อมยินดี เขาพยักหน้าแล้วจัดการเรื่องย้ายของขึ้นชั้นบนอย่างกุลีกุจอ
ซูเสวี่ยจื้อคลุกคลีกับญาติผู้พี่คนนี้มาครึ่งเดือน เห็นว่าเขาเป็นคนดีอยู่หรอก แต่ติดจะจับจดอยู่สักหน่อย
ไม่ใช่ว่าเธอชอบใช้ประสบการณ์ของตนเองมาตัดสินคน แต่เธอรู้สึกจริงๆ ว่าเยี่ยเสียนฉีไม่ค่อยเหมือนคนมุ่งมั่นตั้งใจเรียนแพทย์และเรียนได้คะแนนดีเยี่ยมอย่างที่เขาว่า
แต่ทั้งนี้เธอไม่ได้หมายความว่าคนที่เรียนแพทย์ได้คะแนนดีเยี่ยมจะต้องคร่ำครึอยู่ในกรอบ เคร่งขรึมและขยันหมั่นเพียรหรอกนะ
เธอใช้เวลาช่วงนี้เปิดหนังสือแพทย์ตะวันตกในมืออ่านดูคร่าวๆ แล้ว
การพัฒนาการศึกษาด้านการแพทย์ทั้งในเชิงลึกเชิงกว้างของยุคนี้ เทียบกับยุคของเธอแล้วจัดว่าทิ้งห่างกันไกลชนิดไม่เห็นฝุ่น แต่โดยรวมการแตกแขนงวิชาสาขานั้นเริ่มเห็นเป็นเค้าโครงแล้ว