เฮ่อฮั่นจู่กลับถึงกองบัญชาการแล้วใช้น้ำสบู่ล้างมือเป็นอย่างแรก เสร็จแล้วออกมาเพิ่งจะนั่งลงเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
คนที่โทรมาคือจางอี้จิ่วจากคณะเสนาธิการทำเนียบประธานาธิบดีที่เคยเป็นผู้แทนพิเศษมาร่วมงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของหวังเซี่ยวคุน เขาหัวเราะเสียงดังมาตามสายโทรศัพท์ “เยียนเฉียว ได้ยินว่าคุณเพิ่งไปบ้านสกุลเลี่ยวมาหรือ เรื่องในงานศพนั่นท่านประธานาธิบดีก็ทราบแล้ว เมื่อครู่ท่านพูดกับผมว่าคุณขี้เล่นเกินไปนะ ฮ่าๆๆๆ…”
เสียงหัวเราะร่วนดังมาอีกระลอกหนึ่ง “ตายเสียได้ก็ดี! ศัตรูฆ่าพ่อพรากแม่พรากลูกพรรค์นี้อยู่ร่วมโลกเดียวกันไม่ได้ แม้แต่ท่านประธานาธิบดียังคิดว่ามือปืนน่าเห็นใจ ท่านแอบพูดกับผมว่าศาลน่าจะตัดสินลงโทษสถานเบา แน่นอนว่าท่านจะเอ่ยปากคงไม่เหมาะ แต่เสียงประชาชนส่วนใหญ่ก็เป็นไปในทางนี้เหมือนกัน”
เฮ่อฮั่นจู่ถือหูโทรศัพท์ไว้ เขายิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไร
จางอี้จิ่วหยุดหัวเราะแล้วพูดด้วยเสียงเบาลง “เรื่องนี้ทำได้ดี ถึงตอนนี้ยังแตะต้องคนแซ่ลู่ไม่ได้ แต่จะเล่นงานสั่งสอนพวกเขี้ยวเล็บลูกสมุนบ้างไม่ได้หรือ ท่านประธานาธิบดีให้ผมบอกคุณว่าตั้งใจทำงานให้ดีๆ แล้วก็น้ำใจไมตรีที่ฟู่หมิงเฉิงฝากผ่านคุณมา ท่านประธานาธิบดีได้รับแล้ว แต่สำหรับผมคงไม่ต้องหรอก คำโบราณว่าไว้ว่าไร้ความชอบมิอาจรับบำเหน็จรางวัล ผมไม่ได้ทำอะไรจะมีหน้ารับไว้ได้อย่างไรกัน”
เฮ่อฮั่นจู่พูดยิ้มๆ “ในเมื่อพี่จางพูดอย่างนี้แล้ว ผมก็มีคำพูดที่ทางฟู่หมิงเฉิงฝากผมมาบอกอีก เขามีเรื่องขอร้องคุณ”
“เรื่องอะไร”
เฮ่อฮั่นจู่เล่าเรื่องที่บริษัทสกุลฟู่ยื่นเรื่องขอเพิ่มเส้นทางเดินเรือแต่โดนขัดแข้งขัดขาไว้ก่อนหน้านี้ เริ่มแรกจางอี้จิ่วทำน้ำเสียงลำบากใจเล็กน้อย บอกว่าโยงใยถึงผลประโยชน์ของคนอื่นแบบนี้อยู่นอกเหนืออำนาจของตนเอง แต่เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะต่อทันที “…แต่ว่าเยียนเฉียว ในเมื่อคุณเป็นคนออกปาก จะยากแค่ไหนผมก็ต้องคิดหาทางดู งานนี้ผมขอรับไว้ คุณให้ทางสกุลฟู่รอข่าวแล้วกัน”
เฮ่อฮั่นจู่ส่งเสียงหัวเราะ เขาเอ่ยขอบคุณแล้วยังคุยสัพเพเหระต่ออีกสองสามคำก่อนวางหูโทรศัพท์
เวลานี้เองเฉินเทียนสยงผู้บังคับการกองเลขาธิการที่รออยู่ข้างนอกก็เคาะประตูเข้ามา รายงานเกี่ยวกับงานประจำวันต่างๆ จบแล้วก็ยื่นเทียบขอเยี่ยมคารวะส่งให้
“ใคร?” เฮ่อฮั่นจู่ไม่เหลือบดูด้วยซ้ำ เขาเอ่ยถามอย่างไม่เอาใจใส่
“เยี่ยหรู่ชวนส่งมาครับ คนที่เป็นลุงแท้ๆ ของคุณชายซู บอกว่าวันนี้เพิ่งมาถึงเมืองเทียน พักอยู่ที่โรงแรมเทียนเฉิง”
เฮ่อฮั่นจู่ชะงักนิดหนึ่ง เขาหยิบขึ้นมาดึงแผ่นเทียบออกอ่านแล้วสั่งว่า “คุณเขียนตอบไปเองเลย บอกว่าพรุ่งนี้ผมว่าง เวลาไหนก็ได้”
เมื่อได้รับเทียบขอเยี่ยมคารวะ ปกติมักตอบตกลงพบหน้ากันวันถัดไปอย่างเร็วที่สุด เป็นธรรมเนียมที่ทุกคนรู้กันดี จุดประสงค์เพื่อให้เวลาทั้งสองฝ่ายได้เตรียมตัว
เลขาฯ เฉินขานรับแล้วเดินออกไป
เฮ่อฮั่นจู่ล้วงบุหรี่ออกมาจะจุดไฟ พลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เขาจึงวางมันลงทันที เรียกติงชุนซานเข้ามาถามความคืบหน้าเรื่องที่ส่งคนไปเฝ้าดูลูกชายสกุลซู
ติงชุนซานรายงานว่าพฤติกรรมของซูเสวี่ยจื้อปกติทุกอย่าง กิจวัตรประจำวันในช่วงหลายวันนี้คือตื่นนอนตอนห้านาฬิกากว่า วิ่งรอบสนามกับเพื่อนร่วมห้องหลายคนและออกกำลังกายยามเช้า ตอนกลางวันเรียนหนังสือหรืออยู่ในห้องทดลอง ตอนเย็นไปที่ศูนย์สันทนาการของนักเรียนบ้าง ฝึกชกมวยฝรั่งและชกกระสอบทรายกับเพื่อนร่วมห้องที่ชื่อว่าเจี่ยงจ้งไหว
“มีเท่านี้? ไม่มีอะไรผิดปกติสักนิดเลยหรือ”
ติงชุนซานเห็นผู้บังคับบัญชาคล้ายไม่ค่อยพอใจผลการทำงานของตนเอง เขาเค้นสมองอย่างหนักก็นึกถึงเรื่องหนึ่งที่ได้ยินมาในที่สุดจึงรีบพูดขึ้น “ถ้าจะพูดถึงความผิดปกติ มีอยู่เรื่องหนึ่งจริงๆ ครับ”
“เรื่องอะไร”
“เขาซื้ออมยิ้มรสคาราเมลมาเยอะแยะแบ่งให้เพื่อนร่วมห้องกับเพื่อนข้างห้องกินทุกวัน อ้อ ยังได้รับฉายาว่านางฟ้าเก้าด้วยครับ”
มุมปากของเฮ่อฮั่นจู่กระตุกริก จากนั้นเขาก็บอกให้จับตาดูต่อไป
“อ้อ ท่านผู้บัญชาการ ยังมีอีกเรื่องครับ วันนี้ฟู่หมิงเฉิงมารับเขาไปที่โรงพยาบาลชิงเหอก่อนจะออกจากเมืองไปที่บ้านของผู้อำนวยการคิมูระ ดูเหมือนผู้อำนวยการคิมูระเชิญพวกเขาไปทานอาหาร”
เฮ่อฮั่นจู่โบกมือบอกให้เขาออกไป จากนั้นจุดบุหรี่มวนเมื่อครู่นี้สูบคำหนึ่ง จมอยู่ในภวังค์ความคิดตามลำพัง จังหวะนี้เองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง