เฮ่อหลันเสวี่ยล่ำลาพวกเพื่อนนักเรียนแล้วตั้งท่าจะกลับ พลันเห็นตำรวจคนหนึ่งยืนอยู่ริมถนน ก้มหน้าอ่านเนื้อหาในใบปลิวอย่างเอาจริงเอาจัง เธอจำเขาได้ในแวบแรกว่าเป็นญาติผู้พี่ของคุณชายซูที่เจอกันด้านนอกภัตตาคารเทียนเซียววันนั้น ดูเหมือนจะชื่อว่า…เยี่ยเสียนฉี
“คุณชายเยี่ย!” เธอเดินเข้าไปส่งเสียงเรียกทักทาย
จากนั้นเห็นเขาหันหน้ามาเห็นเธอแล้วพูดอย่างตื่นเต้นแกมดีใจ “คุณอาเล็ก? บังเอิญจัง คุณก็มาแถวนี้เหมือนกันหรือครับ”
เฮ่อหลันเสวี่ยได้ยินชายหนุ่มอ้าปากเรียกเธอว่า ‘อาเล็ก’ ทั้งที่อายุมากกว่าก็หลุดหัวเราะพรืดอย่างกลั้นไม่อยู่ เธอกระแอมให้คอโล่ง ปั้นหน้าเคร่งขึ้นแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “วันนี้คุณลาดตระเวนอยู่ที่นี่หรือคะ”
“ครับ เมื่อครู่นี้เห็นพวกคุณแจกใบปลิวอยู่ ผมก็เลยรับมาใบหนึ่ง งานที่พวกคุณทำอยู่มีความหมายเหลือเกิน สมควรเผยแพร่ให้มากขึ้น ถ้าไม่มีใครเตือนสติ ประชาชนก็ยังคงหลงเชื่องมงายไม่รู้เรื่องรู้ราว แล้วเมื่อไรสังคมถึงจะพัฒนาสักทีก็ไม่รู้ เดี๋ยวผมจะเอาใบปลิวนี้กลับไปที่สถานีตำรวจ บอกให้ทุกคนท่องจำไว้ให้หมดแล้วกลับไปเผยแพร่ให้คนที่บ้านรับรู้ด้วย” ว่าแล้วเขาก็พับกระดาษอย่างเรียบร้อยใส่ในกระเป๋าเสื้อด้วยท่าทางจริงจัง อีกทั้งยังบอกให้ลูกน้องคนหนึ่งไปเอาใบปลิวที่เหลือมา
“มอบหน้าที่ให้พวกผมเอง รับรองแจกหมดแน่ครับ”
พวกนักเรียนเห็นดังนั้นก็ดีใจไปตามๆ กัน
เฮ่อหลันเสวี่ยขอบคุณเขา เธอมีความรู้สึกคล้ายได้พบกับคนที่ถูกอัธยาศัยกัน ตอนนี้เองเห็นคนขับรถเดินเข้ามา เธอจึงกล่าวลาอย่างสุภาพว่าต้องกลับแล้ว
คนขับรถเข้ามาบอกว่าถนนแถวนี้รถติดมาก ขับรถเข้ามาไม่ได้ คงต้องให้เธอเดินเท้าออกไปก่อน
เฮ่อหลันเสวี่ยตอบรับแล้วจะแยกไป กลับได้ยินเยี่ยเสียนฉีบอกให้เธอรอสักครู่แล้ววิ่งเข้าไปในตรอกสายหนึ่ง ไม่นานนักก็เข็นจักรยานแบบตะวันตกออกมา เขาตบๆ เบาะหลังและพูดว่าจะไปส่งเธอ
“ไม่ต้องค่ะๆ ฉันเดินออกไปเองได้” เฮ่อหลันเสวี่ยปฏิเสธเป็นพัลวัน
“คุณเป็นคุณอาเล็กของผม ผมต้องดูแลคุณ ทางนี้ไม่ได้ใกล้ๆ นะครับ ผมไปส่งคุณดีกว่า ไม่ได้เปลืองแรงอะไรสักหน่อย ถ้าคุณไม่นั่งแสดงว่าดูถูกผม”
เขาพูดจบแล้วบอกกล่าวให้คนขับรถของสกุลเฮ่อรับรู้ จากนั้นขึ้นนั่งคร่อมบนอานจักรยานก่อน วางขาข้างหนึ่งยันพื้นและเบือนหน้ามองเฮ่อหลันเสวี่ยรอเธอขึ้นมา
เด็กสาวเห็นท่าทีเขาตั้งใจจริง อีกทั้งเป็นญาติผู้พี่ของคุณชายซู จะหักหน้ากันเกินไปก็กระดากใจ เมื่อบอกปัดไม่ได้ เธอได้แต่ให้คนขับรถไปก่อน ส่วนตนเองนั่งบนเบาะหลังของจักรยาน
เยี่ยเสียนฉีหน้าชื่นตาบาน ตะโกนบอกให้อีกฝ่ายนั่งดีๆ เขาจับแฮนด์จักรยานไว้มั่นแล้วปั่นด้วยสองเท้า วงล้อสองล้อก็เริ่มหมุนพาจักรยานแล่นไปข้างหน้า
ยุคนี้จักรยานของชาวตะวันตกแบบนี้ยังมีน้อยมากพอๆ กับรถยนต์ และเป็นของนำเข้าจากต่างประเทศทั้งสิ้น จักรยานคันหนึ่งมักมีราคาสูงถึงหนึ่งร้อยเหรียญ เป็นของเล่นที่พวกลูกเศรษฐีถึงจะมีปัญญาซื้อหาได้
เฮ่อหลันเสวี่ยถามตามปากพาไป “ทางสถานีตำรวจมีจัดจักรยานแบบนี้ไว้ให้พวกคุณด้วยหรือคะ”
จักรยานคันนี้ย่อมเป็นเยี่ยเสียนฉีซื้อมาขี่เล่นเองอยู่ก่อนแล้ว เขาพูดปดไปตามน้ำว่า “ใช่ๆ เบื้องบนจัดให้ครับ ให้พวกผมปฏิบัติหน้าที่ได้สะดวก”
เธอพูดอย่างทึ่งๆ “ท่านอธิบดีของพวกคุณไม่เลวเลยนะคะ เห็นอกเห็นใจพวกคุณขนาดนี้”
“พี่ชายคุณเป็นผู้นำที่ดี ต้องยกความดีความชอบให้เขาคนเดียวเลยขอรับกระผม ฮ่าๆ”
เฮ่อหลันเสวี่ยเห็นเขาพูดจาชวนขันก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ ฝ่ายเยี่ยเสียนฉีได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กสาวข้างหลังจึงเหลียวมองแวบหนึ่งแล้วยิ่งรู้สึกคึกคักฮึกเหิมไปหมด เขาปั่นจักรยานโฉบเฉี่ยวเร็วฉิว ผู้คนบนถนนเห็นแล้วพากันหลีกทางให้เพราะกลัวจะชนโดนตนเอง
บริเวณใกล้ๆ ลูกน้องของเขาคนหนึ่งถือใบปลิวที่เหลืออยู่ปึกหนึ่งซึ่งรับมาเมื่อครู่นี้แจกจ่ายให้คนบนถนน เห็นชายสูงวัยท่าทางคล้ายมาจากต่างถิ่นเดินเอาสองมือไพล่หลังเหลียวซ้ายแลขวาผ่านมาด้านข้าง เขายื่นใบปลิวให้อีกฝ่าย “นี่ลุงเอาไป! ห้ามทิ้งนะ กลับไปอ่านดูดีๆ ด้วย”
ตอนเยี่ยหรู่ชวนได้ยินเสียงเรียกแล้วหันหน้าไป เหลือบเห็นแผ่นหลังของตำรวจคนหนึ่งกำลังปั่นจักรยานให้นักเรียนหญิงซ้อนท้ายไวๆ ทางหางตา เขาพลันรู้สึกคุ้นตาเลยอดเขม้นตามองไม่ได้
“มองอะไรอยู่ ยังไม่รับไว้อีก” ตำรวจสายตรวจพูดเร่ง
จังหวะนี้เองเยี่ยหรู่ชวนเห็นตำรวจคนนั้นพูดอะไรก็ไม่รู้ นักเรียนหญิงเปล่งเสียงหัวเราะ แล้วตำรวจคนนั้นก็เอี้ยวคอแอบมองเธอแวบหนึ่ง
ฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์! เขามองเห็นลูกชายของตนเองหรือนี่?!
ลูกชายที่ควรจะเรียนหมออยู่ที่ตงหยางในตอนนี้คนนั้น!
เขาเกือบนึกว่าตนเองตาฝาด
เยี่ยหรู่ชวนขยี้ตาแล้วมองซ้ำอีกที เขาทิ้งคนที่มาด้วยไว้ที่เดิม ก้าวขาวิ่งไล่ตามโดยไม่รอช้า แต่กวดฝีเท้าตามไปได้ระยะหนึ่ง เห็นลูกชายปั่นจักรยานเร็วมาก อีกทั้งหลังจากเขาได้รับบาดเจ็บที่ขาแล้วก็วิ่งได้ไม่เร็ว เขาจึงรีบเรียกรถลากริมทางคันหนึ่ง ปีนขึ้นไปนั่งหายใจหอบแฮกๆ พร้อมกับชี้ไปข้างหน้า “ตามไป…เร็วเข้า!”
“ได้เลย ท่านนั่งดีๆ นะขอรับ” คนลากรถขานรับและออกวิ่งลากรถไล่ตามไป
เยี่ยเสียนฉีทางด้านหน้าซึ่งได้โอกาสให้สาวสวยซ้อนท้ายคราวนี้ยังไม่สำเหนียกถึงคราวเคราะห์ที่กำลังติดตามมาข้างหลังแม้แต่น้อยนิด เขาอยากให้เส้นทางสายนี้ทอดยาวไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุดใจจะขาด จะให้ปั่นจักรยานไปอย่างนี้ตลอดชีวิตเขาก็ยินยอมพร้อมใจ น่าเสียดายที่สวรรค์ไม่เป็นใจ พอตัดผ่านถนนสองสามสายออกมา เม็ดฝนเย็นเฉียบพลันหยดแหมะลงบนหน้าผาก
คนขับรถของสกุลเฮ่อก็ขับรถมาทางด้านหลังเช่นกัน