ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง
ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 68-69
เฮ่อหลันเสวี่ยบอกให้เขาจอดตรงนี้ บอกว่าตนเองต้องกลับบ้านแล้ว
เยี่ยเสียนฉีแสนจะเสียดาย แต่จำต้องหยุดจักรยาน ขณะเห็นเธอกำลังลงไป ความคิดหนึ่งสว่างวาบขึ้นในหัว เขาพูดขึ้นว่า “คุณรู้จักลูกพี่ลูกน้องผมไม่ใช่หรือครับ ตอนนี้พวกเราเช่าบ้านไว้ อยู่ใกล้ๆ นี่เอง เขาจะมาตอนสุดสัปดาห์ คุณอยากรู้จักที่ทางไว้ไหมครับ วันหลังไม่แน่ว่าจะได้กินข้าวด้วยกัน ผมขอเลี้ยงอาหารคุณอาเล็กเอง ฝีมือทำกับข้าวของผมน่ะไม่เลวเลยนะครับ”
เฮ่อหลันเสวี่ยได้ยินเขาเอ่ยถึงคุณชายซูก็รู้สึกสนใจ เธอชั่งใจนิดหนึ่งก่อนตอบตกลง บอกให้คนขับรถรออยู่ที่นี่ครู่หนึ่งแล้วให้เยี่ยเสียนฉีพาตนเองไปดู
เขาปั่นจักรยานอย่างดีอกดีใจไปถึงบ้านที่พักอยู่ ชี้ประตูให้เด็กสาวดู แล้วยังชวนเธอเข้าไปนั่ง
เฮ่อหลันเสวี่ยจำที่อยู่นี้ไว้แล้วสั่นศีรษะปฏิเสธอย่างสุภาพ บอกว่าวันหลังมีโอกาสค่อยมาใหม่
เขาไม่กล้าฝืนใจเธอเป็นธรรมดา เหนืออื่นใดวันนี้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันอย่างนี้ก็โชคดีอย่างเหนือคาด เขามีความสุขมากเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้เยี่ยเสียนฉีจึงส่งเด็กสาวกลับไปที่ถนน มองดูเธอขึ้นรถจากไป ถึงเข็นจักรยานกลับไปยังที่พัก เอาไปจอดไว้ในลานบ้านตามเดิม สองมือล้วงกระเป๋าผิวปาก กำลังจะเดินตัวปลิวออกไป ก็มีคนคนหนึ่งดักรออยู่หน้าประตู
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองสบตาที่ถลึงมองตนเองอยู่อย่างดุดันแล้วขวัญกระเจิงฉับพลันจนเกือบลื่นล้มลงกับพื้นด้วยความตกใจ
เข้าตำราที่ว่ารักสนุกทุกข์ถนัด* ขนานแท้
“พ่อ! พ่อมาได้…ได้อย่างไร”
“ฉันมาได้อย่างไรน่ะหรือ ฉันมาก็เพื่อตีไอ้ชาติสุนัขอย่างแกให้ตายโดยเฉพาะนั่นล่ะ”
เยี่ยเสียนฉีตั้งตัวติดแล้วคิดจะหนี แต่เยี่ยหรู่ชวนคว้าคอเสื้อเขาไว้ ก่อนจะเงื้อมือฟาดสุดแรง
“ไอ้ชาติสุนัข! ยังคิดจะหนีหรือ โกหกฉันรึ ไปเรียนต่อที่ตงหยางอะไรกัน ดันมาโผล่อยู่ที่นี่ ซ้ำยังหลอกเด็กผู้หญิงอีก น่าโมโหนัก วันนี้ฉันจะตีแกให้ตายให้ได้!”
เยี่ยเสียนฉีโดนตีหัวหลายทีจนหมวกทรงแข็งหลุดกระเด็นหล่นลงพื้นแล้วกลิ้งหลุนๆ ไปที่มุมกำแพง สุดท้ายเขาดิ้นหลุดมาได้ก็หันหลังหนีเข้าไปในบ้าน
กลางลานบ้านมีต้นไม้ต้นหนึ่ง ชายหนุ่มเผ่นพรวดไปอยู่หลังต้นไม้ วิ่งวนไปรอบๆ หนีพ่อที่ตามไล่ตีเขา
เยี่ยหรู่ชวนไม่นึกไม่ฝันเลยว่าลูกชายจะหลอกลวงตนเอง ไม่ได้ไปเรียนต่อเมืองนอกแต่อย่างใด แต่หลบมามั่วสุมเป็นตำรวจอะไรก็ไม่รู้อยู่ที่นี่ ความวาดหวังทั้งหลายก่อนหน้านี้เป็นอันดับสลายไปหมด ครั้นเห็นเขายังจะหนีอีกก็ยิ่งโกรธมากขึ้น ฉวยไม้คานหาบที่วางพาดอยู่ริมกำแพงมา มันยาวพอจะเอื้อมไปถึงตัวลูกชาย ก็เงื้อขึ้นหวดใส่บั้นท้ายเขาเต็มรัก
เยี่ยเสียนฉีกุมบั้นท้ายพลางร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เขาพูดว่าไม่อยากเรียนหมอ พอเรียนเศรษฐศาสตร์ก็โดนไล่ออกอีก หมดหนทางแล้วเลยได้แต่กลับมา ที่ก่อนหน้านี้ไม่ยอมบอกเพราะกลัวพ่อดุด่า
ตอนนี้เยี่ยหรู่ชวนไม่อยากรับฟังอะไรทั้งนั้น เขาถือไม้คานหาบตั้งหน้าตั้งตาไล่ตีอย่างเดียว “ไอ้พวกไม่รักดี! ฉันนึกว่าแกเรียนอยู่เมืองนอกกลับมาไม่ได้ ถึงได้ให้เสวี่ยจื้อมาเรียนหนังสือผูกสายสัมพันธ์กับสกุลเฮ่ออย่างไม่มีทางเลือก คิดไม่ถึงว่าแกจะมาทำมาหากินที่นี่ มิหนำซ้ำยังอยู่เฉยๆ มองดูน้องอยู่รวมกับผู้ชายทั้งโขยง แกยังมีสำนึกอยู่ไหม วันนี้ฉันจะตีแกให้ตายคามือ”
เยี่ยเสียนฉีโดนตีที่ขาอีกหลายที เจ็บจนกระโดดเหยงๆ ไม่หยุด เขารีบจับไม้คานหาบที่จะฟาดใส่ตนเองไว้ พูดเสียงดังโดยไม่ทันคิดว่า “เสวี่ยจื้อเก่งมากเลยนะพ่อ ได้ลงหนังสือพิมพ์ตั้งหลายครั้ง เก่งกว่าผมเป็นกอง! อีกอย่างผมไม่ได้ยินว่าน้องเรียนหนังสืออยู่ที่นั่นมีอะไรไม่ดีสักหน่อย พ่อตีผมตายเป็นเรื่องเล็ก เกิดผมตายไปจริงๆ วันหลังพ่อจากไป ใครจะจุดธูปเซ่นไหว้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ แล้วถ้าผมตายจริงๆ เสวี่ยจื้อต้องแบกรับภาระของสองครอบครัวไว้คนเดียว หรือพ่ออยากให้น้องปลอมตัวแบบนี้ไปตลอดชาติ ผมรับรองว่าอีกหน่อยจะทำหน้าที่แทนน้องเอง ให้น้องได้เป็นฝั่งเป็นฝามีชีวิตที่เป็นสุข”
ถึงอย่างไรเยี่ยหรู่ชวนก็อายุมากแล้ว เมื่อครู่ตีไม่ยั้งเพราะโกรธจัด เวลานี้เขาเริ่มหมดแรงแล้ว อีกทั้งสู้พละกำลังของลูกชายไม่ไหว พอปลายไม้คานหาบอีกฝั่งหนึ่งโดนยึดไว้ก็ยกไม่ขึ้น เขาปล่อยมือออกอย่างหัวเสีย
“ไอ้ชาติสุนัข ยังจะแก้ตัวอีก ฉัน…”
ด้านข้างซ้ายขวาไม่มีอะไรให้หยิบฉวยได้ เยี่ยหรู่ชวนเลยถอดรองเท้าข้างหนึ่ง ใช้ฝั่งที่เป็นพื้นรองเท้าตบหัวลูกชายแรงๆ เขาตบไปด่าไป “ไอ้พวกไม่ได้ความ! ถ้าแกเอาถ่านสักนิด รับผิดชอบภาระของพวกเราสองครอบครัวได้ เสวี่ยจื้อคงไม่ต้องเป็นหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงจนกระทั่งถึงตอนนี้ เพราะแกเป็นต้นเหตุทั้งนั้น!”
เยี่ยเสียนฉีรู้ดีว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด เขาเห็นพ่อยกไม้คานหาบไม่ขึ้น ทั้งยังเอาพื้นรองเท้าตบหัวตนเอง ถึงจะดูน่าเกลียดไปบ้าง แต่ไม่มีคนอื่นอยู่ใกล้ๆ เขากุมหัวไว้ปล่อยให้พ่อด่าทอตามใจชอบโดยไม่ปริปากสักแอะ
ด้านเฮ่อหลันเสวี่ยที่ขึ้นรถไปเมื่อครู่นี้ หลังจากรถแล่นออกไปได้ประเดี๋ยวเดียวก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าคุณชายซูกับญาติผู้พี่เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ ถือว่าเป็นการขึ้นบ้านใหม่เหมือนกัน
ญาติผู้พี่แซ่เยี่ยคนนี้ไม่เพียงอัธยาศัยดี ยังเรียกเธอว่า ‘คุณอาเล็ก’ ไม่ขาดปาก ในเมื่อเธอรู้แล้ว จะไม่แสดงท่าทีเลยก็ดูไม่ดี เธอจึงให้คนขับรถหันหัวรถย้อนกลับไปจอดหน้าตรอกแล้วเดินเข้าไปอีกครั้ง อยากดูว่าเขายังอยู่หรือไม่ ถ้าอยู่ก็จะถามสักคำว่าพวกเขาขาดเหลืออะไรไหม เธอจะมอบให้เป็นของขวัญ
เด็กสาวคาดไม่ถึงว่าตอนเธอมาถึงหน้าบ้านจะได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ผ่านรอยแยกของบานประตูที่เปิดแง้มอยู่
ญาติผู้พี่แซ่เยี่ยโดนชายสูงวัยใช้ไม้คานหาบไล่ตีจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปทั่วลานบ้าน
เธอตกใจสุดจะกล่าว ทีแรกคิดจะเรียกคนขับรถเข้ามา พลันได้ยินญาติผู้พี่แซ่เยี่ยเรียกอีกฝ่ายว่า ‘พ่อ’ ถึงรู้ว่าทั้งสองเป็นพ่อลูกกันนี่เอง เธอละความตั้งใจฉับพลัน แต่ก็ไม่กล้าเข้าไป ครั้นจะกลับไปก็ไม่วางใจอีก ได้แต่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูอย่างอกสั่นขวัญแขวน ขณะที่ไม่รู้ว่าสมควรทำอย่างไรดี จู่ๆ ก็ได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงคุณชายซู
เธอฟังคำสนทนาของพวกเขาสองพ่อลูกแล้วงุนงงอยู่บ้าง ไม่เข้าใจความหมายของเขามากนัก รู้สึกเหมือนว่าคุณชายซูแบกรับภาระหนักอึ้งมาก ถึงต้องมาเรียนหนังสือที่นี่อย่างสุดวิสัย ต่อจากนั้นได้ยินญาติผู้พี่แซ่เยี่ยพูดต่อว่าจะทำหน้าที่แทนให้เขาได้เป็นฝั่งเป็นฝา
เธอนึกไปถึงที่พี่ชายพูดกับตนเองวันก่อนว่าคุณชายซูมีคนรักอยู่ที่บ้านเดิมแล้ว วันหน้าจะกลับไปแต่งงานมีครอบครัว
ถึงแม้เธอจะเตือนตนเองไม่ใช่แค่ครั้งเดียวว่าอย่าคิดเรื่องพวกนี้อีก แต่เมื่อได้ฟังประโยคนี้ซ้ำอีกครั้ง ทั้งยังออกจากปากของญาติผู้พี่ของคุณชายซู เฮ่อหลันเสวี่ยก็รู้สึกเศร้าสร้อยขึ้นมาอีกกะทันหัน พอได้ยินพ่อของคุณชายเยี่ยพูดถึงคุณชายซูอีกว่าเป็นหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิง ทำให้เธอฉงนใจมากขึ้น ขณะที่ยืนอึ้งงันอยู่นั้น เธอรู้สึกเย็นๆ ที่ใบหน้า จึงเงยหน้าขึ้นเห็นฝนลงเม็ดหนาแล้วถึงดึงสติคืนมาได้ สะกดความหม่นหมองระคนงุนงง ถอยหลังก้มหน้าเร่งฝีเท้าเดินจากมาอย่างเงียบๆ
ตอนที่เด็กสาวกลับถึงบ้าน พี่ชายยังไม่กลับมาตามเคย
เธออยู่ในห้องคนเดียว หวนนึกถึงคำพูดที่ยืนยันว่าเป็นจริงที่ได้ยินวันนี้โดยไม่ตั้งใจประโยคนั้นพลางพูดเตือนตนเองไม่หยุดว่าให้ตัดใจ วันหน้าอย่าห่วงหาอาลัยอีกต่อไป แต่ก็อดเศร้าใจไม่ได้อีก จิตใจของเด็กสาววัยนี้ยังบอบบางอ่อนไหว เมื่อหาที่ระบายความรู้สึกไม่ได้ จึงส่งผลให้เธอทุกข์ใจอย่างสุดแสน