ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง
ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 68-69
เฮ่อฮั่นจู่กลับถึงบ้านตอนยี่สิบสองนาฬิกา
ด้านนอกสายพิรุณราตรียังตกไม่ลืมหูลืมตา มีฟ้าแลบแปลบปลาบอย่างหาได้ยากในฤดูหนาว
ปกติเวลานี้น้องสาวมักปิดไฟเข้านอนแล้ว ตอนชายหนุ่มถือร่มเดินอยู่ในลานบ้าน กลับเห็นแสงไฟในห้องเธอที่ชั้นบนยังสว่างอยู่จากทางหน้าต่าง
เขาเข้าบ้านแล้วหุบร่มยื่นส่งให้ป้าอู๋ที่ออกมารอรับใช้พลางเอ่ยถามโดยไม่คิดอะไร “ดึกแล้วหลันเสวี่ยยังไม่นอนอีกหรือ”
ป้าอู๋ตอบเสียงค่อย “คุณผู้ชายเจ้าคะ วันนี้ไม่รู้คุณหนูเป็นอะไร ตอนออกจากบ้านเมื่อกลางวันยังร่าเริงอารมณ์ดี บอกว่าไปร่วมกิจกรรมอะไรสักอย่างที่สโมสรสตรีจัดขึ้น ตอนเย็นกลับมาก็ดูซึมๆ ไป เธอกินอาหารมื้อเย็นไปไม่กี่คำ กลับเข้าห้องแล้วก็ไม่ได้ออกมาอีกเลย ฉันได้ยินเหมยเซียงบอกว่าตอนเอาเสื้อผ้าเข้าไปวางให้ เห็นคุณหนูตาแดงๆ เหมือนร้องไห้มาก่อนเจ้าค่ะ”
เฮ่อฮั่นจู่มองไปทางหัวบันไดชั้นบนแวบหนึ่ง ถึงย่างเท้าขึ้นบันไดไปที่หน้าห้องของน้องสาวแล้วเคาะประตู “หลันเสวี่ย เปิดประตู”
“ฉันจะนอนแล้ว พี่ไปพักผ่อนเถอะค่ะ” เสียงพูดหม่นๆ ของน้องสาวดังออกมาจากข้างใน
“อย่าดื้อสิ เปิดประตู พี่มีธุระจะคุยด้วย” เฮ่อฮั่นจู่พูดล่อหลอก
ชั่วอึดใจต่อมาประตูห้องเปิดออกช้าๆ เฮ่อหลันเสวี่ยยืนอยู่หลังประตู “พี่มีธุระอะไรหรือคะ”
ครั้นเห็นเปลือกตาเธอยังดูบวมๆ ดังคาด เขาก็ก้าวเข้าไปยืนข้างในห้อง พร้อมเอ่ยถามยิ้มๆ “วันนี้เธอเป็นอะไรไป เจอเรื่องอะไรมาหรือ เล่าให้พี่ฟังนะ”
ตอนแรกเธอส่ายหน้าบอกว่าไม่มีอะไร เฮ่อฮั่นจู่พูดตะล่อมอีกสองคำ ขอบตาของน้องสาวก็แดงเรื่ออีก เธอเบือนหน้าหนี
“พี่คะ ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ดึกแล้ว พี่ก็ไปพักผ่อนเถอะ” เฮ่อหลันเสวี่ยพูดจบแล้วจะเดินไปด้านใน
ชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังเธอ “คนขับรถไม่คุ้มครองเธอให้ดีสินะ พี่จะไปถามเขาดู” เขาพูดจบก็หันหลังจะออกไป
“พี่คะ เป็นเรื่องของฉันเองค่ะ” เด็กสาวรีบเรียกพี่ชายไว้
เฮ่อฮั่นจู่หันหน้าไปเห็นน้องสาวน้ำตาไหล เขาพลันปวดใจระลอกหนึ่ง รีบเข้าไปโอบไหล่เล็กบางของเธอไว้หลวมๆ พลางตบหลังเบาๆ พูดปลอบโยนเสียงนุ่ม “เธอเป็นอะไรไป บอกกับพี่ซิ”
“พี่คะ” เฮ่อหลันเสวี่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอโผเข้าไปซบอกพี่ชาย ร้องไห้น้ำตาไหลรินครู่หนึ่ง ถึงได้เล่าเรื่องที่วันนี้เห็นลูกชายสกุลเยี่ยโดนพ่อตี และได้ยินพวกเขาพูดว่าวันหน้าคุณชายสกุลซูจะแต่งงานมีครอบครัวออกมาในที่สุด
“พี่คะ ก่อนหน้านี้พี่เคยบอกฉันเรื่องนี้แล้ว ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรคิดต่อ ตอนนี้พวกเขาก็พูดแบบนี้เหมือนกัน ฉันจะไม่คิดอีกแล้วจริงๆ นะคะ”
เฮ่อหลันเสวี่ยหยุดร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วเงยหน้าขึ้นจากแผ่นอกของพี่ชาย “ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว นี่จะ…เป็นครั้งสุดท้าย ฉันรับรองค่ะ พี่สบายใจได้”
เฮ่อฮั่นจู่อมยิ้มพยักหน้า เขาไปหยิบผ้าเช็ดหน้าของน้องสาวมายื่นส่งให้ เห็นเธอก้มหน้าเช็ดตาของตนเอง
ผ่านไปครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นพูด “พี่คะ ฉันแค่ไม่วางใจอยู่นิดหน่อย ได้ยินคุณลุงเยี่ยพูดเป็นทำนองว่าคุณชายเยี่ยไม่ได้ความ แล้วเหมือนกับคุณชายซูก็มีเรื่องอะไรสักอย่างต้องปลอมตัวไปตลอดชาติ เขายังพูดอีกว่าคุณชายเยี่ยเป็นต้นเหตุให้คุณชายซูเป็นหญิงก็ไม่ใช่เป็นชายก็ไม่เชิงด้วยค่ะ พวกเขาหมายความว่าอะไรกันแน่ ร่างกายของคุณชายซูไม่ปกติหรือคะ” เฮ่อหลันเสวี่ยมองพี่ชาย ในดวงตาแฝงรอยงุนงงแกมห่วงใยไว้จางๆ
เฮ่อฮั่นจู่รับฟังและกล่าวปลอบน้องสาวสองสามคำว่าเขาจะคอยจับตาดูเรื่องนี้ บอกเธอว่าไม่ต้องเป็นห่วงอีก หลังจากพูดให้น้องสาวสบายใจแล้วกำชับให้นอนพักผ่อน เขาถึงกลับไปที่ห้องของตนเอง
อาการไอตอนกลางคืนกอปรกับมีเรื่องต้องสะสางประดังประเดมาไม่หยุด เป็นเหตุให้พักนี้เขานอนไม่เต็มอิ่มมาติดๆ กันหลายคืนแล้ว
เขารู้สึกอ่อนล้าอยู่บ้าง คืนนี้อยากเข้านอนเร็วขึ้น จึงถอดเสื้อผ้าออกแล้วเดินเท้าเปล่าตรงเข้าห้องน้ำ จากนั้นหมุนก๊อกฝักบัว
สายน้ำพ่นลงมาราดรดศีรษะเขาดังซู่ๆ
ชายหนุ่มปลอบอารมณ์ของน้องสาวให้สงบลงแล้ว แต่เขายังมีปมคาใจที่ยังไขไม่ออกเรื่อยมา
ไม่ใช่แค่ไขไม่ออก ยังเป็นเพราะคำพูดในคืนนี้ของน้องสาว กลับทำให้เกิดคำถามสุมแน่นตรงกลางอกมากขึ้นทุกที ทำให้เขาอึดอัดมาก
สัญชาตญาณในตัวบอกเขาว่าพวกลูกชายสกุลซูต้องมีเรื่องอะไรปิดบังอยู่แน่นอน
บางทีอาจไม่เกี่ยวข้องกับเขาแต่อย่างใด อีกฝ่ายแค่ไม่อยากให้ใครรู้เท่านั้น เขาไม่จำเป็นต้องสืบสาวราวเรื่องเลย
ทว่า…เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยถูกหว่านลงในจิตใจเขาไปแล้ว เขาไม่ชอบความรู้สึกที่โดนคนปั่นหัวปิดหูปิดตาไว้แบบนี้
เขาเกลียดที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตนเองควบคุมคนหรือเรื่องราวรอบตัวไม่ได้ประเภทนี้เป็นที่สุด
มันทำให้เขาเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัย
เขาปล่อยให้น้ำไหลกระทบศีรษะ ใบหน้า และหัวไหล่เป็นละอองฝอยกระเด็นออกไปรอบๆ
กลางม่านไอน้ำที่ค่อยๆ รวมตัวกันมากขึ้นจนปกคลุมไปทั่วห้อง เขาหลับตาลงขบคิดตีความคำพูดของสองพ่อลูกสกุลเยี่ยที่น้องสาวได้ยินมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ปลอมตัวไปตลอดชาติ…
หญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิง…
เขานึกไปถึงคำพูดที่แวบแรกฟังดูแปลกชอบกลของเยี่ยเสียนฉีเมื่อหลายวันก่อนตอนมาที่กองบัญชาการอีกครั้ง
ต้องโตมาแบบนี้ เลือกเองไม่ได้ ฝืนทน…ลำบาก…
ในหัวสมองของชายหนุ่มคลับคล้ายมีความคิดบางอย่างก่อตัวขึ้นมาทีละน้อยๆ แต่เขารู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้จริงๆ…
สติบอกเขาอย่างนี้ แต่อีกเสียงหนึ่งกลับเร่งเร้าเขาให้คิดหาเหตุผลที่สนับสนุนการคาดเดานี้ได้ต่อไป
เสียงน้ำไหลซู่ซ่าดังข้างหูไม่หยุด เขาคิดออกในฉับพลัน
หวังถิงจือเคยพูดว่า…รู้สึกว่าซูเสวี่ยจื้อคล้าย…และมันยังทำให้หวังถิงจือสับสนวุ่นวายใจอย่างหนัก
เขาคิดขึ้นได้อีกว่าตนเองเคยจับแขนของซูเสวี่ยจื้อเช่นกัน สัมผัสนุ่มนิ่มในตอนนั้นเหมือนกับ…
ยังมีอีก…
เขาคิดออกในที่สุด
เมื่อนึกย้อนกลับไปอีก ชายหนุ่มจำได้ว่าตอนเพิ่งเปิดเทอมไม่นาน เขาไปร่วมพิธีเปิดเรียนแล้วเห็นซูเสวี่ยจื้อแหงนหน้าขึ้นพูดกับฟู่หมิงเฉิงโดยไม่ตั้งใจ
ตอนนั้นแสงแดดส่องกระทบตามแนวเส้นสายใบหน้าด้านข้างของซูเสวี่ยจื้อจากหน้าผากลงมาถึงลำคอ ขณะนั้นมีอยู่ชั่วพริบตาหนึ่งที่เขารู้สึกว่ามันขัดๆ ที่ตรงไหนอยู่สักหน่อย
และแล้วในเสี้ยววินาทีนี้เองชายหนุ่มก็กระจ่างแจ้งในบัดดล
ลูกชายสกุลซูลำคอราบเรียบราวกับไม่มีลูกกระเดือก จนถึงขั้นดูแตกต่างจากผู้ชายคนอื่นๆ อย่างชัดเจน
เฮ่อฮั่นจู่ใจเต้นดังตุบ เขาลืมตาทั้งคู่ขึ้นกลางม่านน้ำ
สายน้ำที่ทิ้งตัวลงมาเบื้องหน้าเขาประหนึ่งน้ำตก แตกกระเซ็นไปเกาะแผ่นกระเบื้องโมเสกสีขาวบนผนังห้องน้ำ แผ่กระจายออกแล้วรวมตัวกันอีกเป็นสายๆ สั้นบ้างยาวบ้างไหลหยดมาตามผนังกระเบื้องลงสู่พื้นไม่หยุด
ชายหนุ่มเพ่งมองครู่หนึ่งเป็นการจดจ่อสมาธิ พลันนั้นประกายคมปลาบดุจมีดจุดวาบขึ้นในดวงตาเขา
เขานึกถึงแผ่นหลังในโรงอาบน้ำญี่ปุ่นที่เขามองข้ามไปวันนั้นได้แล้ว
เขาลูบหยดน้ำบนหน้าออก หัวใจเต้นรัวแรงขึ้นกะทันหัน
ใช่ซูเสวี่ยจื้อจริงๆ หรือ
ลูกชายคนนั้นของสกุลซู?
ห้องอาบน้ำหญิง?
ห้องอาบน้ำหญิง!
เป็นไปได้อย่างไร!
นี่มันเหลวไหลมากเกินไปจนเข้าขั้นเหลือเชื่อเลยทีเดียว!
เฮ่อฮั่นจู่หลับตาลงอีกครั้ง เขาอาบน้ำต่อไป แต่ผ่านไปครู่เดียวก็อดรนทนไม่ไหวอีก เขายื่นมือไปหมุนก๊อกปิดน้ำ ลืมตาขึ้นและดึงผ้าเช็ดตัวมาเช็ดร่างกายให้แห้งสนิท จากนั้นสวมเสื้อผ้าอย่างว่องไว
เขาย่ำเท้าลงบันไดไปชั้นล่าง ขับรถฝ่าฝนยามดึกที่หนาวเหน็บออกจากบ้านหายลับไปในรัตติกาลทันที