ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่สายฝนเริ่มเบาลงปนกับลูกเห็บโปรยปรายจากท้องฟ้ายามราตรี ลูกเห็บตกลงมากระทบหลังคารถได้ยินเสียงเปาะแปะดังอึงอล
นิ้วมือทั้งห้าของเฮ่อฮั่นจู่กำรอบพวงมาลัยรถที่เย็นเฉียบ สองตาเพ่งมองไปในความมืดมิดที่แสงไฟรถส่องไปไม่ถึงด้านนอกกระจกหน้ารถผืนนั้น ชั่วอึดใจต่อมาเขาเหยียบคันเร่งเต็มแรงออกรถอีกครั้ง ล้อหมุนดีดน้ำแตกกระจาย พารถยนต์ห้อตะบึงไปตามถนนที่มุ่งหน้าสู่ทิศเหนือสายนั้น
เรื่องในคืนนี้ยังไม่จบ แล้วก็จบลงแบบนี้ไม่ได้
เขายังต้องการคำตอบสุดท้าย จะกระชากหน้ากากของเธอออกซึ่งๆ หน้า ดูว่าเธอจะเฉไฉแก้ตัวอย่างไร
เดิมทีเขาไม่ใช่สุภาพบุรุษอะไรอยู่แล้ว การแก้แค้นเป็นเรื่องที่ชวนให้สาแก่ใจ ในเมื่อจะได้สาแก่ใจ เหตุใดต้องห้ามตนเองไว้ไม่ทำเล่า
ในค่ำคืนที่ชื้นแฉะเย็นเยือกและมีลูกเห็บตกลงมาอีกนี้ รถยนต์ของชายหนุ่มละม้ายสัตว์ร้ายสวมเกราะเหล็กที่ร้องคำรามตัวหนึ่งวิ่งไปทางทิศเหนือของเมืองอย่างฉับไว ตัดผ่านถนนกลางสุสานที่เงียบงันมืดมิดไปจนถึงวิทยาลัยแพทย์ทหารในที่สุด
เวลานี้ทั่วทั้งบริเวณวิทยาลัยปิดไฟไปนานแล้ว รอบด้านตกอยู่ในความมืด มีเพียงแสงไฟสลัวๆ ดวงหนึ่งตรงป้อมยามหน้าประตูที่ส่องสว่างอยู่
เฮ่อฮั่นจู่จอดรถแล้วลงจากรถ ย่ำเท้าไปบนหย่อมน้ำบนพื้นเดินปราดๆ เข้าไปตบประตู ปลุกคนเฝ้ายามที่เข้าเวรดึกให้สะดุ้งตื่นขึ้น
คนเฝ้ายามเห็นหน้าคนที่มาหาได้ถนัดตาว่าเป็นเขาก็หายง่วงงุนเป็นปลิดทิ้ง ลุกลนหยิบเสื้อคลุมตัวออกมาเปิดประตู
“ไปเรียกซูเสวี่ยจื้อออกมา” เขาออกคำสั่งสั้นๆ
คนเฝ้ายามอึ้งงันไปนิดหนึ่งก่อนพูด “ผู้บัญชาการเฮ่อ คืนนี้นักเรียนซูยังไม่กลับมาเลยครับ”
“เพราะอะไร วิทยาลัยนี้มีระเบียบวินัยแบบกึ่งทหารไม่ใช่หรือ ไม่ใช่สุดสัปดาห์ นักเรียนค้างคืนอยู่ข้างนอกตามใจชอบได้หรือ”
คนเฝ้ายามได้ยินน้ำเสียงของเขาเคร่งเครียดอยู่บ้างก็รีบอธิบาย “คืออย่างนี้ครับ นักเรียนซูรับหน้าที่ทำห้องนิทรรศการรำลึกถึงเจ้าสัวใหญ่สกุลฟู่ จำเป็นต้องออกไปข้างนอกบ่อยๆ ท่านผู้อำนวยการจึงอนุญาตเป็นพิเศษให้เข้าออกเวลาไหนก็ได้ครับ เมื่อกลางวันเขาน่าจะออกไปเพราะเรื่องนี้ ส่วนว่าเพราะอะไรคืนนี้ยังไม่กลับมา กระผมก็ไม่ทราบชัดเจนแล้วครับ”
เฮ่อฮั่นจู่นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นหันหลังกลับไปโดยไม่พูดอะไรอีก
ตอนเฮ่อฮั่นจู่กลับถึงคฤหาสน์สกุลเฮ่อก็เป็นเวลาหนึ่งนาฬิกาแล้ว
ความตั้งใจที่จะพักผ่อนในคืนนี้พังทลายหมดสิ้นเพราะเรื่องคาดไม่ถึงนี้
เฮ่อฮั่นจู่เอนตัวลงนอนแต่หลับไม่ลง พลิกตัวไปมาอยู่ครู่หนึ่งก็เลยลุกลงจากเตียงไปที่ห้องหนังสือ
ชายหนุ่มยืนพิงหน้าต่างหันหน้าไปทางผืนราตรีข้างนอกตามลำพัง เขาสูบบุหรี่อยู่ในความมืดไปได้ครึ่งมวน หมุนตัวเดินไปข้างโต๊ะแล้วโทรศัพท์หาติงชุนซาน บอกให้ส่งคนไปสืบความเคลื่อนไหวในวันนี้ของซูเสวี่ยจื้อว่าคืนนี้นอนค้างที่บ้านตระกูลฟู่หรือเปล่า
ติงชุนซานโดนปลุกให้ตื่นขึ้น เขาดูเวลาแวบหนึ่งเห็นว่าสองนาฬิกาแล้ว อดถามคำหนึ่งไม่ได้ “ตอนนี้หรือครับ”
“ใช่ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้”
เสียงทางสายโทรศัพท์ของผู้บังคับบัญชาฟังดูมึนตึงมาก ติงชุนซานไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงให้ไปสืบหาซูเสวี่ยจื้อตอนสองนาฬิกาแบบนี้ แต่รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องร้ายแรง เขาทั้งไม่กล้าและไม่จำเป็นต้องถามต่อว่าเพราะอะไรอยู่แล้ว แค่ขานรับแล้ววางหูโทรศัพท์ ก่อนจะเร่งรีบคลานออกจากผ้าห่มอันอบอุ่น
โชคดีว่าคนที่รับหน้าที่เป็นสายสืบทำงานไว้ใจได้ ครึ่งชั่วโมงให้หลังเขาก็โทรศัพท์กลับไปรายงานผู้บังคับบัญชาว่าเมื่อวานซูเสวี่ยจื้อไปที่โรงพยาบาลชิงเหอก่อน น่าจะไปรับข้อมูลต่างๆ เช่นบันทึกการรักษาอาการป่วยของเจ้าสัวใหญ่สกุลฟู่ก่อนเสียชีวิต จากนั้นไปยังบ้านพักซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองของผู้อำนวยการคิมูระพร้อมกับฟู่หมิงเฉิง คืนนี้ยังไม่เห็นกลับเข้าเมือง น่าจะค้างคืนที่บ้านของผู้อำนวยการคิมูระ สำหรับสาเหตุนั้นเป็นไปได้มากว่าเพราะฝนลูกเห็บตกจึงส่งผลกระทบต่อการเดินทางสัญจร เขาส่งคนไปตรวจดูที่นอกเมืองแล้ว พอมีข่าวกลับมาจะรายงานให้ทราบทันที
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง ตอนสามนาฬิกาครึ่ง ติงชุนซานโทรศัพท์กลับมาเป็นครั้งที่สอง บอกว่าเป็นปัญหาที่สภาพถนนจริงๆ รถยนต์ของลูกน้องเขาติดอยู่กลางทาง ขับเข้าไปไม่ได้
ในเมื่อขับเข้าไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ออกมาไม่ได้เหมือนกันเป็นธรรมดา
ติงชุนซานรายงานจบ กลั้นใจรอคำสั่งใหม่ของผู้บังคับบัญชา
ชั่วครู่ต่อมาได้ยินเสียงพูดจากปลายสายอีกฝั่งหนึ่งว่า “เรียกกลับมาเถอะ ไม่ต้องสืบแล้ว”
ติงชุนซานลอบถอนหายใจเฮือกแล้วขานรับทันที