ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง
ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 70-71
บทที่ 71
ตอนบ่ายซูเสวี่ยจื้อได้รับโทรศัพท์จากฟู่หมิงเฉิง เขาบอกว่ารวบรวมบันทึกการรักษาอาการป่วยของพ่อเขาที่มีอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งอยู่ที่โรงพยาบาลชิงเหอ ถามเธอว่ามีเวลาไปคัดเลือกด้วยกันได้หรือไม่
ใกล้จะถึงปลายภาคแล้ว ตารางเวลาเรียนของนักเรียนชั้นปีที่สี่เริ่มน้อยลง หลักๆ จะเป็นการอ่านหนังสือเองกับเรียนปฏิบัติการเป็นส่วนใหญ่ เธอไม่มีคาบเรียนบ่าย อีกทั้งทางวิทยาลัยอยากกำหนดเนื้อหาสาระที่จะจัดแสดงในห้องนิทรรศการรำลึกถึงเจ้าสัวใหญ่ในเบื้องต้นให้ได้ก่อนปิดเทอม เธอตอบตกลงและบอกให้เขารอสักครู่ ตนเองจะรีบไปถึงที่นั่นโดยเร็วที่สุด แต่ชายหนุ่มบอกว่าขับรถไปสะดวกมาก เขามารับเธอไปจะเร็วกว่า ซูเสวี่ยจื้อได้แต่รอเขามาหา สุดท้ายนั่งรถของเขาไปที่โรงพยาบาลพร้อมกัน
หลังจากรวบรวมเอกสารกับแฟ้มข้อมูลการรักษาที่เป็นประโยชน์เสร็จ ฟู่หมิงเฉิงบอกว่าวันนี้ภรรยาของผู้อำนวยการคิมูระจะฉลองวันเกิด ผู้อำนวยการคิมูระอยู่บ้านเป็นเพื่อนภรรยาไม่ได้มาที่โรงพยาบาล พอรู้ว่าเขาอาจจะมาที่นี่กับซูเสวี่ยจื้อวันนี้ เลยฝากให้เชิญเธอไปกินอาหารที่บ้านพร้อมกับเขา
หญิงสาวคำนึงถึงว่าตนเองกับอีกฝ่ายไม่เคยไปมาหาสู่กัน รู้สึกไม่ค่อยเหมาะเลยปฏิเสธอย่างสุภาพ ฟู่หมิงเฉิงกลับบอกว่าผู้อำนวยการคิมูระไหว้วานเขาเอาไว้ว่าถ้าเป็นไปได้ให้เชิญเธอไปให้ได้ เพราะมีเรื่องอยากขอให้เธอช่วยเหลือ
ซูเสวี่ยจื้อนึกไม่ออกจริงๆ ว่าผู้อำนวยการคิมูระมีเรื่องอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือจากเธอ ทว่าอีกฝ่ายพูดถึงขนาดนี้แล้ว จะบอกปัดอีกก็ไม่เป็นการดี เธอจึงตามเขาไปที่บ้านของผู้อำนวยการคิมูระด้วยเหตุนี้
ระหว่างทางฟู่หมิงเฉิงบอกเธอว่าผู้อำนวยการคิมูระอาศัยอยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้านกลางเขานอกเมืองแห่งหนึ่ง และยอมเดินทางไปกลับทุกวันเพราะชอบความเงียบสงบ ในบ้านมีแค่เขากับภรรยาที่ตามเขามาเมืองจีนเมื่อหลายปีก่อน ตามธรรมดาภรรยาเขาจะอยู่บ้าน สองสามีภรรยารักใคร่กันดีมาก
“คุณไม่ต้องเกร็งนะ คุณนายคิมูระมีเชื้อสายจีนครึ่งหนึ่ง เธอเป็นคนอัธยาศัยดี คุณได้พบแล้วจะรู้เอง”
บ้านของผู้อำนวยการคิมูระอยู่ไกลมากจริงๆ หลังออกมาทางทิศใต้ของเมือง ยังต้องขับรถอีกเกือบสิบกิโลเมตรกว่าจะถึง ตัวบ้านตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาของหมู่บ้าน ดูภายนอกเป็นเรือนสี่ประสานของจีนที่ผ่านการซ่อมแซมดัดแปลงมาอีกที ฟู่หมิงเฉิงเล่าว่าในอดีตที่นี่เคยเป็นวิทยาลัยเอกชนเล็กๆ ภายหลังปิดตัวไป ผู้อำนวยการคิมูระก็ซื้อที่นี่เอาไว้แล้วปรับปรุงเป็นบ้านพัก พอย่างเท้าเข้าไปก็เห็นเป็นลานบ้านแบบเรียบง่ายโบราณ ปลูกต้นสนเขียวชอุ่ม ทั่วบริเวณสะอาดหมดจดและเป็นระเบียบเรียบร้อย ตรงหน้าประตูเขียนอักษรวิจิตรจีนไว้สามคำว่า ‘เรือนหนานหยาง’ เป็นตัวบรรจงลายเส้นกลมมน
“คุณคิมูระเป็นคนเขียนอักษรพวกนี้เอง เขายกย่องเทิดทูนจูเก๋อเลี่ยง (ขงเบ้ง) ในยุคซานกั๋ว (สามก๊ก) มาก ถึงได้ตั้งชื่อที่นี่ว่าเรือนหนานหยาง” ฟู่หมิงเฉิงอธิบาย
ผู้อำนวยการคิมูระกับภรรยาออกมาต้อนรับแขกด้วยกัน
คุณนายคิมูระเป็นอย่างที่ฟู่หมิงเฉิงบอกไว้จริงๆ เธอมีรอยยิ้มอบอุ่นเป็นมิตร ไม่เพียงพูดภาษาจีนเป็น ยังรับรองแขกได้อย่างเหมาะสม ทำให้ซูเสวี่ยจื้อสลัดความรู้สึกเก้อเขินที่มาเยี่ยมบ้านคนอื่นเป็นครั้งแรกไปได้อย่างรวดเร็ว หลังจากเจ้าของบ้านกับแขกพบหน้ากันแล้ว คุณนายคิมูระพาแขกที่มาหาเป็นครั้งแรกเดินชมบ้านเล็กน้อย ซูเสวี่ยจื้อเห็นภาพครอบครัวพ่อแม่ลูกแขวนไว้บนผนังห้องรับแขก
ดูจากภาพน่าจะเป็นสมัยที่ผู้อำนวยการคิมูระกับภรรยายังเป็นหนุ่มสาวกันอยู่ คุณนายคิมูระอุ้มเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไว้บนตัก
ครั้นเห็นภาพถ่ายดึงดูดสายตาของแขกไป คุณนายคิมูระยิ้มน้อยๆ “คนนี้เป็นลูกสาวของฉันกับคุณคิมูระ น่าเสียดายที่เธอโชคร้ายล้มป่วยจากไปเมื่อหลายปีก่อน ต่อมาพวกเราก็ไม่มีลูกอีกเลย คุณคิมูระมักพูดกับฉันบ่อยๆ ว่าทุกครั้งที่ช่วยรักษาเด็กให้หายป่วย เขาจะรู้สึกคล้ายว่าได้ยืดชีวิตของลูกสาวเราต่อไปจากตัวเด็กคนนั้น”
ซูเสวี่ยจื้ออดนึกไปถึงเรื่องที่ผู้อำนวยการคิมูระจัดทำแฟ้มประวัติการรักษาให้โจวเสี่ยวอวี้เป็นพิเศษไม่ได้ ไม่ใช่แค่ความเมตตาการุณย์ต่อคนไข้ที่น่านับถือ แต่มีอดีตช่วงหนึ่งอยู่เบื้องหลังอย่างนี้ด้วยนั่นเอง
ในฤดูหนาวฟ้ามืดเร็ว พอกินอาหารมื้อเย็นแล้ว ผู้อำนวยการคิมูระเชิญแขกดื่มน้ำชา พูดคุยเรื่องที่โรงพยาบาลชิงเหอโดนฟ้องร้องเพราะอุบัติเหตุจากการผ่าตัดผู้ป่วยรายนั้น นอกจากจะสะทกสะท้อนใจที่การติดเชื้อหลังผ่าตัดเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ยากแล้ว เขายังรู้สึกผิดอย่างรุนแรงจากความผิดพลาดในคราวนั้นของตนเอง
ยุคนี้ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดหรือโรคติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ ล้วนถูกจัดให้เป็น ‘โรคที่รักษาไม่ได้’ ทันทีที่เป็นก็มักต้องตายเสมอ
ไม่กี่วันก่อนนี่เองโรงพยาบาลสังกัดวิทยาลัยแพทย์ทหารได้รับผู้ป่วยรายหนึ่งเป็นทหารบาดเจ็บ แผลของเขาติดเชื้อแล้วเกิดภาวะเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ถึงแม้ผู้อำนวยการเหอพยายามรักษาสุดความสามารถ ทหารคนนั้นยังคงเคราะห์ร้ายเสียชีวิตอยู่ดี
ตอนนั้นเธอก็อยู่ที่นั่น มองดูนายทหารหนุ่มท่าทางเพิ่งอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีต้องตายไปอย่างนั้นต่อหน้าต่อตา แต่เธอสุดปัญญาจะทำอะไรได้
ทั้งๆ ที่การติดเชื้อชนิดนี้สามารถรักษาด้วยยาเพนิซิลลินได้อย่างเต็มที่
เมื่อได้ยินผู้อำนวยการคิมูระเอ่ยถึงปัญหานั้นในขณะนี้ ในใจซูเสวี่ยจื้อยิ่งรู้สึกว่าจำเป็นต้องทำยาปฏิชีวนะออกมาเร็วขึ้น อีกทั้งเธอเพิ่งรู้ว่าที่แท้จนบัดนี้โรงพยาบาลชิงเหอยังไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมาทำการรักษาในด้านนี้เลย
ผู้อำนวยการคิมูระกล่าวจบแล้วหันไปทางซูเสวี่ยจื้อ เขานั่งคุกเข่าบนเสื่อทาทามิ* ก้มหัวหมอบกับพื้นเป็นการคำนับเธออย่างอ่อนน้อมพลางพูด “ผมละอายใจอย่างยิ่ง แม้จะรู้ว่าไม่สมควรเอ่ยปาก แต่ผมหมดหนทางจริงๆ เพราะทางโรงพยาบาลยังไม่ได้รับอนุญาตให้รักษาด้านนี้ ช่วงก่อนต้องปฏิเสธคนไข้ไปไม่น้อย ผมอยากไหว้วานให้คุณซูช่วยเหลือครับ โรงพยาบาลจะได้กลับมาให้บริการรักษาโรคตามปกติโดยเร็ว”
ซูเสวี่ยจื้อรีบเบี่ยงตัวหลบการคำนับ เอ่ยว่าเธอเต็มใจช่วย แต่ไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรได้บ้างจริงๆ และขอให้เขาไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้
ผู้อำนวยการคิมูระบอกว่าอำนาจในการดูแลควบคุมสถานพยาบาลอยู่ที่กรมตำรวจ ก่อนหน้านี้เขาเคยไปพบซุนเมิ่งเซียนมาแล้ว ตั้งใจจะให้กรมตำรวจจัดส่งผู้เชี่ยวชาญมาตรวจประเมินโรงพยาบาลชิงเหอใหม่ จะได้ออกใบอนุญาตให้อีกครั้ง แต่ซุนเมิ่งเซียนคงไม่อยากยุ่งเกี่ยว จึงดึงเรื่องไว้ตลอดไม่ยอมดำเนินการ
เขาได้ยินว่าซูเสวี่ยจื้อไม่เพียงเป็นญาติกับเฮ่อฮั่นจู่ผู้บัญชาการหน่วยทหารรักษาการณ์ ปกติยังพบปะกันบ่อยๆ ดังนั้นวันนี้เขาอ้างวันเกิดของภรรยา ทำหน้าหนาเชิญเธอมาเพื่อขอร้องให้นำสถานการณ์ความลำบากของโรงพยาบาลไปบอกต่อเฮ่อฮั่นจู่ หวังว่าเขาจะยื่นมือช่วยคลี่คลายให้