ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง
ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 70-71
หญิงสาวแปลกใจมาก เธอรู้สึกมาตลอดว่าตนเองกับเฮ่อฮั่นจู่เป็นคนรู้จักกันธรรมดาๆ และไม่ได้ไปมาหาสู่กันเป็นการส่วนตัว ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่ตอนไหนที่ในสายตาคนภายนอกเห็นว่าเธอกับเขาสนิทกันถึงระดับนี้
ในฐานะคนเป็นหมอเหมือนกัน ซูเสวี่ยจื้อย่อมจะเข้าใจถึงสถานการณ์ลำบากของโรงพยาบาลชิงเหอได้ แล้วก็เห็นอกเห็นใจอยู่มาก เธอเห็นดังนั้นแล้วได้แต่พูดว่า “ความจริงผมกับผู้บัญชาการเฮ่อเป็นญาติห่างกันหลายชั้น ปกติก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันสักเท่าไร สำหรับเขาเกรงว่าคำพูดของผมคงไม่มีน้ำหนักอะไรนัก คุณคิมูระน่าจะเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ เรื่องนี้ผมอยากช่วยแต่ก็จนปัญญาจริงๆ ผมไม่กล้ารับปากหรอกครับ กลัวจะทำให้งานสำคัญของคุณเสียหาย แต่เท่าที่ผมรู้ ผู้บัญชาการเฮ่อนับว่าเป็นคนเปิดกว้าง ดังนั้นผมแนะนำให้คุณหาโอกาสขอพบเขาโดยตรงหรือไม่ก็เขียนจดหมายเล่าปัญหาของคุณก็ได้ เรื่องเกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลประชาชน ผมเชื่อว่าเขาไม่นั่งนิ่งดูดายแน่ครับ”
ผู้อำนวยการคิมูระขอบคุณสำหรับคำแนะนำของเธอ บอกว่าจะลองติดต่อไปโดยเร็วที่สุดตามที่เธอบอก
ตอนยี่สิบนาฬิกากว่า สมควรแก่เวลาที่คนเป็นแขกจะขอตัวกลับแล้ว ด้านนอกสายฝนกลับโปรยปรายลงมาอย่างหนัก เพราะอยู่ในภูเขาอุณหภูมิจึงยิ่งลดต่ำลง ส่งผลให้มีลูกเห็บตกอีกด้วย ได้ยินเสียงคล้ายเมล็ดถั่วหล่นร่วงกระทบกระเบื้องหลังคาเหนือศีรษะ
หากอยู่ที่นี่ต่ออีกเกรงว่าจะเดินทางกลับลำบาก ฟู่หมิงเฉิงกับซูเสวี่ยจื้อกล่าวลาเจ้าของบ้าน ขับรถไปตามเส้นทางขามาออกจากภูเขา คิดไม่ถึงว่าเพิ่งไปได้ไม่กี่กิโลเมตรก็เจอดินถล่มลงมาปิดถนนเบื้องหน้าไว้ รถยนต์แล่นผ่านไปไม่ได้
แถวนี้เป็นที่เปลี่ยว มีหมู่บ้านแค่ไม่กี่แห่งตั้งกระจายกันห่างๆ ในเวลานี้นอกจากแสงสว่างจากไฟรถแล้ว ถนนหนทางมืดมิด มองไม่เห็นวี่แววผู้คน จะทิ้งรถเดินกลับเข้าเมืองก็เป็นไปไม่ได้ จึงต้องหันหัวรถกลับอย่างหมดทางเลือก คืนนี้ทั้งคู่จำต้องพักอยู่ที่บ้านผู้อำนวยการคิมูระ รอวันรุ่งขึ้นฟ้าสว่างค่อยกลับไป
ตอนเย็นผู้อำนวยการคิมูระดื่มเหล้าไปบ้างเลยเข้านอนแล้ว ภรรยาของเขาเป็นคนจัดเตรียมห้องพักให้แขกที่ย้อนกลับมา
ที่นอนนั้นมีเหลือเฟือ ตามวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่น แค่วางฟูกนอนบนพื้นก็เป็นอันเรียบร้อย สะดวกและง่ายดาย เธอถามแขกสองคนว่าคืนนี้จะนอนห้องเดียวกันหรือคนละห้อง
แม้ซูเสวี่ยจื้อเริ่มเคยชินกับการนอนร่วมห้องกับเพื่อนนักเรียนแล้ว แต่ในความรู้สึกของเธอ พวกเจี่ยงจ้งไหวเป็นเพื่อนฝูงกันในลักษณะที่แทบไม่มีการแบ่งแยกชายหญิง
ขณะที่ฟู่หมิงเฉิงย่อมไม่เหมือนกันเป็นธรรมดา
ซูเสวี่ยจื้อยังไม่ทันอ้าปากพูด ได้ยินฟู่หมิงเฉิงที่อยู่ด้านข้างบอกว่า “ตอนกลางคืนผมเคยชินกับการนอนคนเดียว มีคนอื่นอยู่ด้วย กลัวจะหลับไม่สนิท รบกวนคุณช่วยเตรียมห้องให้ผมกับคุณซูคนละห้องด้วยครับ”
คุณนายคิมูระตอบรับอย่างยิ้มแย้มแล้วกุลีกุจอไปจัดเตรียมให้
ซูเสวี่ยจื้อคิดไม่ถึงว่าเขาจะขอนอนคนเดียวเหมือนกัน เธอไม่ต้องเอ่ยปากเองพอดี พอหันไปมองเขา เห็นเขาก็มองมาทางเธอพลางพูดยิ้มๆ “คุณอย่าถือนะครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่เต็มใจอยู่ห้องเดียวกับคุณจริงๆ แต่ผมเป็นคนนอนยาก กลัวจะกวนเวลาพักผ่อนของคุณ”
ใครๆ ก็ต้องการความเป็นส่วนตัวกันทั้งนั้น หญิงสาวเข้าใจได้แน่นอน อีกทั้งตรงกับความต้องการของเธอพอดี จึงบอกเขาว่าไม่เป็นไร
ตอนเตรียมห้องเรียบร้อยแล้วยังไม่ถึงเวลายี่สิบเอ็ดนาฬิกา จะเข้านอนก็เร็วไปสักหน่อย ฟู่หมิงเฉิงชวนเธอมานั่งผิงไฟกัน ทั้งคู่นั่งอยู่หน้าเตาดินเผา เขาอุ่นเหล้าสาเกกาหนึ่งบนนั้นโดยใช้กิ่งสนเป็นฟืน
รอบด้านเงียบสงบอย่างยิ่ง มีแต่เสียงกิ่งสนไหม้ไฟดังเปรี๊ยะๆ คละเคล้าเสียงลูกเห็บกระทบหลังคาดังเปาะแปะๆ ลอยมากระทบหู
ค่ำคืนนี้ฟู่หมิงเฉิงดูจะครึ้มอกครึ้มใจอยากพูดคุยมาก เขาเป็นฝ่ายเล่าเรื่องสมัยไปเรียนต่อที่ตงหยางให้เธอฟัง ยังพูดถึงการอยู่ร่วมห้องเดียวกับเพื่อนนักเรียนที่มีเรื่องไม่สะดวกหลายอย่างเพราะความเคยชินและกิจวัตรที่ต่างกัน ภายหลังเขายื่นขอห้องพักเดี่ยวแล้วย้ายออกไปถึงได้อยู่อย่างสบายใจ
“ซูเสวี่ยจื้อ คุณเคยชินกับความเป็นอยู่ที่วิทยาลัยแล้วจริงๆ นะ ถ้าต้องการอะไรแล้วเอ่ยปากเองไม่สะดวก บอกกับผมได้ ผมพอช่วยพูดให้คุณได้”
เธอเช่าบ้านได้แล้ว อีกอย่างเวลานี้ไม่ได้ออกไปข้างนอกได้สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง แค่อ้างว่าเตรียมงานห้องนิทรรศการรำลึกถึงเจ้าสัวใหญ่ก็เข้าออกได้ทุกเมื่อ
ถึงปกติจะยังไม่ค่อยสะดวก แต่ช่วงที่ยากลำบากที่สุดผ่านพ้นไปแล้ว ภาคการศึกษานี้ก็ใกล้จะปิดเรียน เหลือเวลาอีกไม่เท่าไร จู่ๆ ย้ายไปอยู่ห้องพักเดี่ยวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยตอนนี้ กลัวว่าจะทำให้คนอื่นติดใจสงสัยและโดนเขม่นโดยไม่จำเป็น
หญิงสาวใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนบอกว่าขณะนี้ยังไม่จำเป็น เธอขอบคุณในความปรารถนาดีของเขา
รอดูผลคะแนนสอบปลายภาคก่อน ถ้าเกิดไม่ถึงเกณฑ์ เทอมหน้ายังต้องอยู่ห้องพักรวมอย่างไม่มีทางเลือก ถึงตอนนั้นค่อยคิดหาวิธีอีกทีแล้วกัน
ฟู่หมิงเฉิงตอบรับ
ยามนี้เหล้าสาเกอุ่นได้ที่แล้ว เขาหยิบมาจะรินให้เธอ
ซูเสวี่ยจื้อรีบห้ามไว้ บอกว่าเธอดื่มเหล้าไม่เป็น
เธอเริ่มประจักษ์ได้ทีละน้อยว่าตนเองในร่างนี้คออ่อนมาก ดื่มไปนิดเดียวก็มีอาการตอบสนองต่อฤทธิ์แอลกอฮอล์ทันที เธอกลัวจะเกิดปัญหา ยามอยู่ข้างนอกจึงจะปฏิเสธหมด
ฟู่หมิงเฉิงมองเธอแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้คะยั้นคะยออีก เขารินให้ตนเองแล้วดื่มอึกหนึ่ง ค่อยพูดยิ้มๆ ว่า “ใช่แล้ว จำได้ว่าปีก่อนประมาณช่วงนี้เหมือนกัน ในงานคริสต์มาสที่วิทยาลัยแพทย์ประจำมณฑล คุณก็เผลอตัวดื่มเหล้าจนเมา ตอนออกมาเลยหกล้ม ผมเจอเข้าโดยบังเอิญ ยังพาคุณไปส่งที่บ้านคุณลุงของคุณ”
เขาพูดอย่างสะท้อนใจ “เวลาผ่านไปเร็วเหมือนติดปีกจริงๆ หนึ่งปีแล้ว ผู้คนสถานที่เปลี่ยนแปลงไปหมด ตอนนี้นึกขึ้นมาผมก็รู้สึกเหมือนว่าเรื่องราวในตอนนั้นเกิดขึ้นเมื่อนานแสนนานมาแล้ว”
ซูเสวี่ยจื้อได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องเก่าๆ เธอพยายามทบทวนความทรงจำในหัวเต็มที่ ในที่สุดก็จำได้รางๆ ว่าเคยเกิดเหตุการณ์นั้นจริงๆ ดูเหมือนตอนนั้นแขนขาถลอกปอกเปิก เขาเป็นคนพาเธอไปทำแผลที่ห้องพยาบาล จากนั้นส่งเธอกลับไปบ้านคุณลุง
ทว่ามันเป็นอดีตไปหมดแล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอโดยตรง ซูเสวี่ยจื้อไม่ค่อยอยากพูดถึงมากนัก อีกทั้งเมื่อครู่เธอใจลอยนึกไปถึงเรื่องที่ญาติผู้พี่พลั้งปากกับเฮ่อฮั่นจู่ซึ่งกวนใจเธอมาตลอดหลายวันนี้ ไม่รู้ว่าทำให้เขาเอะใจหรือเปล่ากันแน่ ส่งผลให้ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไร เธอตอบเออๆ ออๆ สองคำแล้วบอกว่าเริ่มง่วงแล้ว
ฟู่หมิงเฉิงลุกขึ้นทันที
ซูเสวี่ยจื้อพูดขอตัวกับเขากลับไปที่ห้องของตนเอง ปิดประตูแล้วแปรงฟันเข้านอน
เธอไม่คุ้นกับการนอนพื้น บวกกับมีเรื่องในใจ วันรุ่งขึ้นเพิ่งฟ้าสางก็ตื่นนอน พบว่าข้างนอกหิมะตกแล้ว โลกรอบตัวถูกห่มคลุมด้วยอาภรณ์สีเงิน
ฟู่หมิงเฉิงตื่นแต่เช้าเช่นกัน
หลังกินอาหารมื้อเช้าเสร็จ คนรับใช้ของครอบครัวคิมูระกลับมารายงานว่าชาวบ้านแถวนี้เก็บกวาดถนนเรียบร้อยแล้ว
ทั้งคู่กล่าวลาผู้อำนวยการคิมูระกับภรรยา เตรียมตัวกลับเข้าเมือง
ในเวลาเดียวกันนี้เองคนคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ริมถนนทางเข้าบ้านของครอบครัวคิมูระที่มีหิมะทับถมอยู่
เขาคือเฮ่อฮั่นจู่