ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง
ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 72-73
บทที่ 72
ซูเสวี่ยจื้อกลับถึงวิทยาลัยแล้วได้รับข่าวข่าวหนึ่ง
เมื่อวานนี้เองหลังเธอออกไป เยี่ยหรู่ชวนคุณลุงของเธอเดินทางจากบ้านเดิมมายังเมืองเทียนและมาหาเธอถึงที่นี่ด้วย
ปฏิกิริยาแรกของเธอไม่ใช่ตื่นเต้นประหลาดใจ แต่เป็นขวัญหนีดีฝ่อ
ขืนให้คุณลุงรู้ว่าเธอย้ายไปอยู่หอพักชายต้องเกิดความปั่นป่วนขึ้น อีกทั้งจะบอกว่าเป็นฝีมือของเฮ่อฮั่นจู่ไม่ได้แน่นอน เธอคงต้องเปลืองน้ำลายขนานใหญ่เพื่อพูดอธิบายให้คุณลุงสบายใจ แล้วก็กลัวว่าถ้าญาติผู้พี่ที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังของเธอคนนั้นเกิดถึงคราวซวยโดนคุณลุงจับผิดได้ นั่นจะเป็นหายนะดีๆ นี่เอง เธอแตกตื่นครู่หนึ่ง รีบถามคนเฝ้ายามก่อนว่าเมื่อวานคุณลุงได้เข้าไปที่หอพักของตนเองหรือเปล่า โชคดีที่คนเฝ้ายามบอกว่าไม่ได้เข้าไป พอได้ยินว่าเธอไม่อยู่ก็กลับไป แค่ฝากบอกว่าพักอยู่ที่โรงแรมเทียนเฉิง
เธอโล่งอกขึ้นเล็กน้อย เร่งรีบไปขอลาหยุดอีกเพื่อออกไปหาญาติผู้พี่
หนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเธอต้องลากเขาไปยอมรับผิดกับคุณลุงทันทีให้ได้
หลังคุณป้าด่วนจากไป คุณลุงก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ จึงมีญาติผู้พี่เป็นลูกชายคนเดียว เป็นธรรมดาที่จะฝากความหวังไว้กับเขาอย่างสูง
ก่อนหน้านี้อยู่ห่างไกลกันคนละโยชน์ ถึงได้ถ่วงเวลามาเรื่อยๆ ตอนนี้คุณลุงมาถึงที่ด้วยตนเอง ถ้ายังหลบซ่อนอีกก็ไม่มีเหตุผลที่ฟังขึ้นแล้วจริงๆ
จะด่าทอหรือทุบตี ต่อให้ย่ำแย่แค่ไหนก็ดีกว่าให้คุณลุงรู้เรื่องเองก่อน
เธอตั้งสติได้แล้วรีบจัดการเรื่องที่วิทยาลัยให้เรียบร้อย ตอนที่ออกมาแล้วจะไปหาญาติผู้พี่ เธอกลับต้องประหลาดใจที่เขาเป็นฝ่ายมาเอง ทั้งสองพบกันแถววิทยาลัย
ซูเสวี่ยจื้อนึกว่าเขามาหาด้วยเรื่องอื่น เธอบอกข่าวนี้ให้เขารู้ก่อนแล้วให้เขาไปที่โรงแรมยอมรับผิดพร้อมกับเธอ คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเสียนฉีจะพูดว่า “ช้าไปแล้ว เมื่อวานเจอกันไปแล้ว ตีฉันเกือบตาย! มือหนักชะมัด ฉันยังเจ็บขาถึงตอนนี้เลย ฉันชักสงสัยแล้วว่าฉันไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อหรือเปล่า”
เธอตกใจเหลือหลาย
เยี่ยเสียนฉีเล่าเรื่องที่เมื่อวานตนเองดวงไม่ดีไปเจอะเจอกับเยี่ยหรู่ชวนโดยบังเอิญจนโดนสะกดรอยตามถึงบ้านแล้วถูกพ่อตีอย่างหนักยกหนึ่งตั้งแต่ต้นจนจบ
ทีแรกซูเสวี่ยจื้อกังวลใจมากว่าจะความแตก คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะแดงแบบพิลึกพิลั่นเหลือเชื่ออย่างนี้จริงๆ เธอฟังจบแล้วอึ้งงันเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรแสดงปฏิกิริยาอย่างไรดีไปชั่วขณะ เธอเหลือบตามองญาติผู้พี่ เห็นเขาทำหน้าละห้อยอย่างกลุ้มใจก็ไม่มีแก่ใจหัวเราะเยาะเขา ถามว่าเขามาหาเธอด้วยเหตุใด
“ก็คุณลุงของเธอคนนั้นน่ะสิ เมื่อวานด่าฉันถึงดึกดื่นค่อนคืนกว่าฉันจะหลุดมาได้ก็แทบแย่ เมื่อเช้าลุงจงให้คนมาหาฉันบอกว่าพ่อไม่สบาย แต่ไม่ยอมไปหาหมอ ฉันไม่กล้าไปคนเดียว อยากเรียกเธอไปด้วยกัน เธอช่วยตรวจอาการให้พ่อฉันหน่อย ค่อยช่วยพูดขอร้องให้ฉันด้วย บอกกับพ่อฉันดีๆ ว่าพอพักรักษาตัวให้หายป่วยแล้วรีบกลับบ้าน”
ซูเสวี่ยจื้อได้ยินว่าคุณลุงล้มป่วยแล้วก็เป็นห่วงอยู่สักหน่อย เธอตอบตกลงโดยไม่อิดออด จากนั้นไปหาเขาที่ห้องพักในโรงแรมเทียนเฉิงกับเยี่ยเสียนฉี
สรุปว่าคุณลุงของเธอไม่ได้ป่วยเป็นอะไรมาก คงเพราะเมื่อวานโมโหเกินไป ซ้ำยังไม่คุ้นกับการนอนบนเตียงของโรงแรม เขาปูที่นอนกับพื้น ตอนเช้าตื่นขึ้นมาก็ตัวรุมๆ ร้อนในปวดฟันจนแก้มข้างหนึ่งมีอาการบวมเล็กน้อย ขณะนี้เขากลับขึ้นไปนอนบนเตียงแล้ว ดูท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง เห็นหลานสาวมาหาถึงมีรอยยิ้มผุดขึ้นบนหน้า แต่พอเห็นลูกชายเดินหลบอยู่ข้างหลังหลานสาวเข้ามา ไฟโทสะก็พลุ่งขึ้นมากลางอกอีกครั้งทันควัน เขาเลิกผ้าห่มขึ้นลงจากเตียงแล้วง้างเท้าถีบใส่
“แกยังมีหน้ามาอีก ไสหัวออกไป!”
เยี่ยเสียนฉี ‘ไสหัวออกไป’ โดยไม่รอช้า
ซูเสวี่ยจื้อเห็นคุณลุงยังจะไล่ตามออกไปอีกก็รีบรั้งตัวอีกฝ่ายเอาไว้ ประคองเขาให้นั่งลงและบอกว่าเธอจะไปที่ร้านขายยาซื้อยามาให้
เยี่ยหรู่ชวนพูดว่าไม่เป็นไรแล้วบอกเธอว่าไม่ต้องไป จากนั้นก่นด่าลูกชายว่าอกตัญญู เป็นพวกชิงสุนัขมาเกิด ยังพูดว่าเขาผิดต่อเธอ รู้สึกละอายใจมาก หนนี้กลับไปแล้วคงสู้หน้าแม่เธอไม่ได้
เธอเขียนชื่อยาใส่กระดาษให้คนรับใช้ของคุณลุงไปซื้อพวกยาแอสไพริน ที่ร้านขายยาฝรั่ง จากนั้นพูดไกล่เกลี่ยว่าเธอเองก็ผิดเหมือนกัน ควรจะบอกให้เขารู้เร็วกว่านี้คงไม่ถึงกับทำให้ตอนนี้เขาต้องโกรธเพียงนี้ ยังบอกอีกว่าเธออยู่ในวิทยาลัยสบายดีทุกอย่าง ผู้อำนวยการให้ความสำคัญกับเธอมาก จะพาเธอไปร่วมการสัมมนางานวิจัยทางการแพทย์นานาชาติที่กำลังจะจัดขึ้นครั้งใหญ่เป็นกรณีพิเศษด้วย เธอรู้สึกโชคดีมากที่มาเรียนหนังสือที่นี่ เหมือนภาษิตจีนที่ว่า ‘ตั้งใจปลูกต้นไม้ไม่ออกดอก ปักกิ่งหลิวส่งเดชกลับให้ร่มเงา’ ญาติผู้พี่จะเรียนหมอหรือไม่ก็ไม่ได้มีผลกับเธอเท่าไร ขอให้คุณลุงอย่าโกรธอีกเลย สุดท้ายเธอพูดชมเยี่ยเสียนฉียกหนึ่ง บอกว่าเขาเป็นตำรวจแค่สั้นๆ ครึ่งปีก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าสถานีตำรวจ มีลูกน้องแล้ว หนำซ้ำก่อนหน้านี้ไม่นานยังสร้างความดีความชอบจนได้รับรางวัลอีกด้วย
เยี่ยหรู่ชวนฟังคำพูดทั้งหมดนี้ของหลานสาวแล้วอารมณ์ดีขึ้นบ้างในที่สุด
จังหวะนี้เองซูจงเดินเข้ามาบอกว่าเมื่อวานได้รับจดหมายตอบกลับจากเลขาฯ ของกองบัญชาการว่าวันนี้ท่านผู้บัญชาการจะรออยู่ที่คฤหาสน์สกุลเฮ่อ ตอนนี้ควรทำอย่างไร
โดยทั่วไปการเยี่ยมคารวะจะไม่ไปกันตั้งแต่เช้า จะต้องรอตอนบ่าย
เรื่องอื่นยังพอไหว แต่เยี่ยหรู่ชวนแก้มโย้ไปข้างหนึ่ง จะไปพบหน้าใครได้อย่างไร เขาได้แต่ให้ซูจงไปขอขมาแทนตนเอง บอกว่าขอนัดหมายไปเยี่ยมคารวะอีกทีวันหลัง
ซูจงรับคำแล้วกำลังจะออกไป แต่ซูเสวี่ยจื้อเรียกเขาไว้ “หนูไปเองดีกว่าค่ะ หนูสนิทกับเขามากกว่า จะได้ช่วยอธิบายให้คุณลุงแล้วนัดเวลากันใหม่”
จุดประสงค์หลักที่เธอขันอาสารับหน้าที่นี้ไว้เองเพราะอยากไปหยั่งเชิงดูว่าวันนั้นเฮ่อฮั่นจู่รู้สึกสงสัยหรือเปล่ากันแน่ ไม่อย่างนั้นมัวแต่ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ อยู่แบบนี้ เธอไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขสักที
ถึงอย่างไรก็โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ไปเผชิญหน้าให้เห็นดำเห็นแดงไปเลยดีกว่า
อีกอย่างวันนี้ไม่ใช่วันสุดสัปดาห์ เฮ่อหลันเสวี่ยไม่อยู่บ้าน ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเจอหน้ากัน
ถ้าพบอะไรไม่ชอบมาพากลจริงๆ เธอจะได้เตรียมตัวเตรียมใจรับมืออย่างทันท่วงที
การให้ ‘หลานชาย’ ไปพูดแทนคุณลุงย่อมดูเป็นพิธีรีตองกว่าส่งพ่อบ้านไปอย่างเห็นได้ชัด เยี่ยหรู่ชวนจึงตอบตกลง
ซูจงพูดว่าจะไปส่งนายน้อยด้วยตนเอง