ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง
ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 72-73
ทว่าชายหนุ่มไม่ยอมนั่งเช่นกัน บอกว่าต้องให้เกียรติผู้อาวุโส ด้านจวงเถียนเซินยิ่งไม่กล้าไปนั่ง
ซูเสวี่ยจื้อมองดูพวกเขาพูดปัดกันไปมา สุดท้ายปล่อยให้เก้าอี้หัวโต๊ะว่างไว้
เฮ่อฮั่นจู่นั่งตรงเก้าอี้ด้านข้างก่อน เยี่ยหรู่ชวนนั่งถัดจากเขาแล้วค่อยเป็นจวงเถียนเซิน จากนั้นก็ถึงคราวเยี่ยเสียนฉีกับซูเสวี่ยจื้อนั่งลงในที่สุด
ผู้จัดการร้านคอยดูแลให้บริกรยกอาหารเข้ามาวางบนโต๊ะจนครบทุกจานอย่างว่องไว เยี่ยหรู่ชวนพร้อมด้วยลูกชายกับหลานสาวขอดื่มเหล้าคารวะเฮ่อฮั่นจู่ก่อน ชายหนุ่มก็ร่วมดื่มด้วยเป็นการคารวะตอบ พาให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารครึกครื้นขึ้นทันใด
เยี่ยหรู่ชวนยังขอดื่มให้ชายหนุ่มเองอีกครั้งเพื่อขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือครอบครัวเขา หลังเหล้าลงท้องไปหลายแก้ว เห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเป็นกันเองมาก เขาก็ค่อยๆ ปล่อยตัวตามสบาย ระหว่างที่พูดคุยสัพเพเหระกัน ยังเล่าเรื่องการค้าของตนเองบ้างอีกด้วย
ฝ่ายจวงเถียนเซินได้ดื่มเหล้าแล้วยิ่งคุยอย่างออกรสออกชาติ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดอยู่ดีๆ ก็ไพล่ไปเอ่ยว่าสองวันนี้มีหิมะตกทำให้อากาศหนาว จากนั้นทำท่าเหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นได้ หันหน้าไปทางซูเสวี่ยจื้อที่ก้มหน้าก้มตากินอาหารอยู่ตลอด บอกให้เธอใส่ใจเรื่องเตาผิงไฟให้ความอบอุ่นในห้องนอนด้วย เล่าว่าแถวบ้านเขามีคนหนึ่งอาศัยอยู่ตามลำพัง หลายวันก่อนเพราะจุดเตาไม่ระวังเลยสำลักควันจนหมดสติไป เคราะห์ดีที่ตอนนั้นมีคนมาหาถึงเจอเข้าพอดี พาตัวออกมาอยู่ในที่โล่งได้ทันถึงได้ไม่เกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้น
จวงเถียนเซินคงคิดว่าเธอยังพักอยู่คนเดียวในห้องเดิม น่าจะพูดเตือนด้วยความปรารถนาดีเช่นกัน
ซูเสวี่ยจื้อหยุดคีบอาหารพลางตวัดตามองเฮ่อฮั่นจู่แวบหนึ่งอย่างฉับไว
หลังจากเขาเข้ามาในห้องอาหารส่วนตัวคืนนี้ หญิงสาวรู้สึกเหมือนตนเองเป็นอากาศธาตุ เพราะเขาไม่เหลือบแลมาทางเธอเลย แต่ชั่วขณะนี้เห็นเขามองมาพอดีเหมือนกัน เธอรีบดึงสายตากลับ พยักหน้าทำเสียงตอบอือออพร้อมเอ่ยว่า “ทราบแล้ว”
กระนั้นมันเข้าตำราที่ว่าคนพูดไม่คิดอะไร คนฟังกลับสะกิดใจ
เยี่ยหรู่ชวนนึกขึ้นได้ว่าหลานสาวพักอยู่คนเดียวก็เริ่มเป็นห่วงขึ้นมาฉับพลัน เขาพูดขึ้นว่า “เสวี่ยจื้อ หรือไม่พรุ่งนี้ลุงไปที่ห้องพักในวิทยาลัยของเธอ ช่วยตรวจดูเตาผิงให้เผื่อว่ามีตรงไหนรั่ว”
ซูเสวี่ยจื้อสะดุ้งตกใจ รีบหันไปมองเฮ่อฮั่นจู่อีกทีโดยไม่ทันคิดเลยประสานสายตากับเขาเป็นครั้งที่สอง
เธอเห็นเขาทำท่าชั่งใจเล็กน้อย จากนั้นมองไปทางคุณลุงของเธอแล้วทำท่าคล้ายจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง หญิงสาวจึงส่งเสียงพูดตัดหน้าด้วยความร้อนใจ “ไม่ต้องครับ คุณลุงสบายใจได้ สองวันก่อนช่างของวิทยาลัยเพิ่งตรวจดูให้แล้ว ไม่มีปัญหาสักนิดเดียว” เธอพูดจบแล้วจ้องหน้าชายหนุ่ม ส่งสายตาบอกเขาว่าอย่าพูดเรื่องที่เธอย้ายห้องพักออกมา
ชายหนุ่มชะงักไปนิดหนึ่ง แต่ไม่ปริปากพูดอะไร ดูเหมือนเข้าใจความหมายของเธอแล้วในที่สุด
เยี่ยหรู่ชวนได้ยินหลานสาวบอกเช่นนี้ ทั้งยังพูดสำทับอีกสองคำถึงวางใจได้ จากนั้นเขาก็เริ่มคุยเรื่องอื่นกับเฮ่อฮั่นจู่ต่อ
ซูเสวี่ยจื้อถอนหายใจอย่างโล่งอก
การกินเลี้ยงสังสรรค์ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ทั้งเจ้าภาพและแขกดื่มกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ
หลังกินอาหารเสร็จ เยี่ยหรู่ชวนเรียกลูกชายกับหลานสาวมาใกล้ๆ เขายื่นมือไปจับมือกับเฮ่อฮั่นจู่แน่นๆ อีกครั้ง พูดว่าลูกหลานตนเองไม่เอาไหน เห็นทีว่าวันหลังยังต้องรบกวนให้อีกฝ่ายช่วยเหลือดูแลอีก
เฮ่อฮั่นจู่หยักยิ้มตกปากรับคำ พอเห็นเยี่ยหรู่ชวนกับจวงเถียนเซินมีท่าทางเมามายอยู่บ้างก็เสนอตัวขับรถไปส่ง พวกเขาบอกปัดเต็มที่ แต่เห็นชายหนุ่มมีใจเอื้อเฟื้อเหลือหลาย สุดท้ายจึงได้แต่ยอมรับน้ำใจ
เยี่ยเสียนฉีต้องนั่งกระสับกระส่ายไม่เป็นสุขมาทั้งคืนจนการพบปะสังสรรค์สิ้นสุดลงอย่างราบรื่น มีหรือจะกล้านั่งรถของเฮ่อฮั่นจู่อีก เขาขอกลับเองโดยบอกว่าคืนนี้ต้องเข้าเวรที่สถานีตำรวจซึ่งอยู่คนละทางกัน
ซูเสวี่ยจื้อก็บอกว่าจะกลับพร้อมกับญาติผู้พี่ คิดไม่ถึงว่าเฮ่อฮั่นจู่จะพูดขึ้นว่า “เธอกลับวิทยาลัยเป็นทางเดียวกัน ขึ้นมาเถอะ ยังมีที่ว่าง”
ตอนนี้อากาศหนาวจัด วิทยาลัยของหลานสาวอยู่ชานเมืองเปลี่ยวไกล ทั้งยังเป็นเวลาดึกดื่นค่ำมืดอีก เยี่ยหรู่ชวนไม่ค่อยวางใจอยู่แล้ว พอได้ยินเฮ่อฮั่นจู่พูดแบบนี้แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ต่อลูกหลานของตนเองจริงๆ เขารู้สึกซาบซึ้งใจมาก จึงรีบเอ่ยขอบคุณแทน
ซูเสวี่ยจื้อได้แต่ต้องขึ้นรถไปด้วย
เฮ่อฮั่นจู่ส่งเยี่ยหรู่ชวนกับจวงเถียนเซินถึงโรงแรมแล้วบอกให้พักผ่อนอย่างสบายใจ เขาจะพาหลานชายไปส่งให้ถึงวิทยาลัยเอง เยี่ยหรู่ชวนพร่ำพูดขอบอกขอบใจ หลังจากนั้นเฮ่อฮั่นจู่ก็ออกรถอีกครั้งมุ่งหน้าต่อไปทางทิศเหนือของเมือง
พอเหลือแค่เขากับซูเสวี่ยจื้อที่นั่งอยู่เบาะหลัง ภายในรถก็ตกอยู่ในความเงียบโดยพลัน
บนโต๊ะอาหารคืนนี้ หญิงสาวดื่มเหล้าตามคุณลุงไปหลายแก้ว เมื่อครู่ตอนออกจากร้านเธอรู้สึกเมามายเล็กน้อย เวลานี้ข้างหูไร้สรรพเสียงใด รถก็แล่นได้เรียบสนิทเหมือนกับนั่งเรือ พาให้เริ่มง่วงงุนทีละน้อย เธอหลับตาลงเอนศีรษะพิงพนักงีบหลับ
เฮ่อฮั่นจู่ขับรถออกไปทางทิศเหนือของเมืองได้ครู่หนึ่ง ไม่ได้ยินเสียงอะไรจากด้านหลัง เขาอดเอี้ยวคอมองไม่ได้ ก็เห็นเธอซุกตัวอยู่มุมหนึ่ง ศีรษะพิงซบที่นั่งเบาะหลังนิ่งๆ คล้ายหลับไปแล้วกระนั้น
ขณะนี้ค่อนข้างดึก ลมหนาวเย็นเยือกด้านนอกเล็ดลอดเข้ามาในรถ เป็นเหตุให้อุณหภูมิต่ำลงมาก
เขาลังเลใจนิดหนึ่ง แต่ยังคงชะลอรถและจอดในที่สุด ก่อนจะถอดเสื้อโค้ตของตนเองแล้วลงรถเดินไปฝั่งที่เธอนั่งอยู่ เปิดประตูรถอย่างเบามือ คิดจะเอาเสื้อห่มบนตัวเธอ
จริงๆ แล้วซูเสวี่ยจื้อยังหลับไม่สนิท เธอสะลึมสะลือรู้สึกได้รางๆ ว่ามีคนเปิดประตูรถก็ตกใจตื่นทันใด ลืมตาขึ้นเห็นเงาดำตะคุ่มๆ ที่อยู่ข้างตัวเป็นเฮ่อฮั่นจู่ เขาเหยียดแขนสองข้างราวกับจะเอื้อมมาหา ทำให้เธอสะดุ้งโหยง กระถดตัวไปด้านในรถนั่งหลังตรงตามสัญชาตญาณทันที
“คุณจะทำอะไร” เธอจ้องเขาเขม็งอย่างระแวดระวัง
เฮ่อฮั่นจู่อึ้งงันไป มือเขาที่ถือเสื้อไว้ชะงักกึก พอเธอขยับตัว สายตาของชายหนุ่มก็เลื่อนไปหยุดอยู่ตรงหน้าอกที่แบนราบเหมือนไม้กระดาน เขายืนนิ่งอยู่อึดใจหนึ่งก่อนพ่นลมหายใจออก โยนเสื้อตนเองไปที่ตัวหญิงสาว มันครอบลงบนศีรษะเธอพอดี
เดิมทีแสงไฟรอบด้านก็มืดสลัวอยู่แล้ว ทีนี้เธอเลยมองอะไรไม่เห็นทั้งนั้น
ซูเสวี่ยจื้อเพียงรับรู้ถึงสัมผัสนุ่มๆ ปุกปุยแฝงไออุ่นแผ่คลุมลงมาทางศีรษะของตนเอง
ต่อจากนั้นจมูกที่เฉียบไวของเธอก็ได้กลิ่นไม่คุ้นเคยคล้ายเป็นกลิ่นยาสูบปนกลิ่นสบู่ที่อ่อนจางมากระลอกหนึ่ง
ไม่ใช่ว่ากลิ่นนี้ไม่ชวนดม แต่เมื่อนึกถึงว่านี่เป็นเสื้อของเขา เธอก็รีบกลั้นหายใจไม่กล้าดม ทั้งยังดึงมันออกจากศีรษะตนเองอีกด้วย
“เธอว่าฉันจะทำอะไรได้ล่ะ”
เขาพูดประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงเหมือนเยาะๆ จบก็ปิดประตูรถดังปึง จากนั้นเดินกลับไปนั่งตรงที่นั่งด้านหน้าตามเดิมแล้วขับรถต่อไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 มี.ค. 67 เวลา 12.00 น.