เฮ่อฮั่นจู่พิศดูเธออย่างตั้งใจ
เมื่อครู่นี้ซูเสวี่ยจื้อพูดตามที่ใจคิดจริงๆ ไม่ได้โกหก แล้วคงเป็นเพราะได้ฤทธิ์เหล้าย้อมใจเต็มที่ เธอพูดจบแล้วถึงรู้สึกปลอดโปร่งโล่งอกขึ้นไม่น้อย จนสามารถสบตากับเขาด้วยจิตใจที่เบิกบานแจ่มใสมากขึ้น
นานพักหนึ่งถึงได้ยินเขาพูดขึ้นอีกด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ก่อนหน้านี้ฉันทำให้เธอเจอความลำบากบ้าง ยังต้องย้ายไปห้องพักรวม เธอรู้สึกคับแค้นใจใช่หรือเปล่า”
ยังนึกว่าเขาคิดอะไรอยู่ ที่แท้เรื่องพวกนี้นี่เอง
ซูเสวี่ยจื้อเกือบหัวเราะออกมา “ในสายตาคุณน้า ผมเป็นคนปล่อยวางไม่ได้ขนาดนั้นเลยหรือครับ ผมยอมรับว่าตอนนั้นผมมีปัญหาจริงๆ”
เธอหยุดเว้นจังหวะนิดหนึ่ง “พูดได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่มาก แต่ตอนนี้นึกย้อนกลับไป สำหรับผมแล้วใช่ว่ามันจะไม่ใช่ความทรงจำที่ควรค่าแก่การจดจำ อย่างน้อยมันทำให้ผมเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น วันหน้าพบกับปัญหาอีก แค่อย่าท้อถอยง่ายๆ ทำได้เท่าไรก็ทุ่มสุดตัวทำไปเท่านั้น…”
ท้องทุ่งโล่งกว้าง สายลมหนาวเหน็บพัดหวีดหวิวดุจใบมีดบาดผ่านผิวแก้มนอกร่มผ้าให้เย็นเฉียบอย่างรวดเร็ว แต่คงเป็นผลจากแอลกอฮอล์ในร่างกาย ทำให้หญิงสาวไม่รู้สึกหนาวเลย ในอกอุ่นผะผ่าว เธอถึงกับรู้สึกราวกับว่าเนื้อตัวเบาหวิวไปหมด
อันที่จริงคืนนี้เห็นเขาสุภาพมีมารยาทต่อคุณลุง ผิดแผกไปจากปกติที่มักวางท่าหยิ่งยโสเป็นนิจ ในใจซูเสวี่ยจื้อก็รู้สึกซาบซึ้งใจแล้ว
ถึงแม้จะเคยคับแค้นในความใจจืดใจดำของเขาจริงๆ แต่หลังจากอาหารเย็นมื้อนี้ก็ลบล้างกันไปได้แต่แรกแล้ว
เขาให้เกียรติคุณลุง นี่ก็คือการให้เกียรติเธออย่างสูงที่สุดไปด้วย
“ผมไม่ได้โกรธเคืองคุณน้า ไม่เลยแม้แต่นิดเดียวครับ”
ซูเสวี่ยจื้อสั่นศีรษะแรงๆ พูดอย่างขึงขังจบ เห็นเฮ่อฮั่นจู่ยังนิ่งเงียบอยู่ก็นึกว่าเขาไม่เชื่อ เธอจึงพูดต่อด้วยอารมณ์ฮึกเหิมที่พลุ่งขึ้นมาระลอกหนึ่ง “ความจริงผมรู้สึกโชคดีที่ตัวเองมีโอกาสได้มาเข้าเรียนที่นี่นะครับ ผมพูดจริงๆ ตอนมาถึงใหม่ๆ ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องอนาคตเลย แล้วผมก็ไม่รู้ว่าผมทำอะไรได้บ้าง แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว”
ดวงตาของเธอเป็นประกายวิบวับขึ้นมาทันใด “นับวันผมก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่ผมเรียนอยู่นั้นมีคุณค่า จริงอยู่ว่ามนุษย์เล็กกระจ้อยร่อย แต่ไม่ใช่เหตุผลที่เราไม่คู่ควรเป็นส่วนหนึ่งที่จะฉายแสงแห่งความหวัง คุณน้า ผมจะบอกให้นะ ผมมีแผนการอย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงได้ไหม…”
ขณะที่เกือบพูดออกมา หญิงสาวพลันรู้ตัวว่าพูดมากไปหน่อย
เธอเมาแล้วจริงๆ ถึงกับเริ่มพูดจ้อไม่หยุดปากกับเขาอีกแล้ว
บทเรียนก่อนหน้านี้ยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำ
เขาจะสนใจอยากฟังคติสอนใจพวกนี้ของเธอได้อย่างไรกัน
เธอรีบหยุดปากและเปลี่ยนเป็นพูดว่า “ขอโทษครับ ผมพูดมากไปแล้ว คุณน้าถือเสียว่าผมไม่ได้พูดเถอะ เอาเป็นว่าความหมายของผมคือผมไม่ได้ไม่พอใจคุณน้าครับ”
เฮ่อฮั่นจู่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรตนเองถึงยอมเสี่ยงที่คืนนี้กลับไปแล้วอาจต้องทนทรมานกับอาการไอทั้งคืนอีก เขายืนตากลมหนาวตรงนี้ฟังเธอพูดอะไรมากมายก่ายกองเป็นวรรคเป็นเวรแบบนี้
หากน่าแปลกคือเขากลับไม่รู้สึกเบื่อหน่าย หนำซ้ำในใจลึกๆ ยังอยากฟังเธอพูดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
เธอที่อยู่ตรงหน้าขณะนี้มีท่าทางร่าเริงสดใส จนเฮ่อฮั่นจู่รู้สึกราวกับเธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ค่อยเหมือนเดิมสักเท่าไร เขา…เห็นว่าแบบนี้ไม่เลวเลยจริงๆ
“แผนการอะไรหรือ” ก่อนชายหนุ่มจะห้ามปากตนเองไว้ เขาได้ยินคำถามนี้หลุดออกไปแล้ว
เธอเหมือนอึ้งงันไป มองเขาแวบหนึ่งแล้วโคลงศีรษะยิ้มๆ “ไม่พูดกับคุณน้าแล้ว”
นี่คือท่าทางเวลาเธอ ‘ออดอ้อน’ หรือ
เป็นแววตาเย้ายวนใจ…หรือว่าประกายหิมะจับตาจับใจคน
เฮ่อฮั่นจู่รู้สึกว่าตนเองตาฝาดไปแล้วแน่ๆ เขาถึงกับหัวใจเต้นผิดจังหวะเพราะคนที่ไม่มีเสน่ห์ของผู้หญิงแม้แต่น้อยคนนี้
เขาเลื่อนสายตาไปที่หน้าอกแบนราบของเธออีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่
เธอเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เกิดหรือว่ารัดมันไว้แบบนี้กันนะ
ครั้นเขาประจักษ์ได้ว่าในหัวตนเองมีความคิดนี้ผุดขึ้น และนึกไปถึงคำฝากฝังที่ลุงเธอพูดกับเขาอย่างจริงจังในคืนนี้แล้วจู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกผิดอย่างรุนแรง เขาสะกดความคิดอยากถามซักไซ้ต่อไว้ พูดเยาะตนเองในใจว่า นี่…คงโดนเธอยั่วโมโหจนขาดสติไปแล้ว
นับตั้งแต่ค้นพบว่าเธอเป็นผู้หญิง หลายวันมานี้เขาคงยังทำใจยอมรับจุดนี้ไม่ได้ในชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ดังนั้นถึงได้ทำเรื่องโง่งมที่คิดอีกทีแล้วต้องเสียใจภายหลังอยู่เรื่อย
อารมณ์หดหู่เหนื่อยหน่ายหลังจากเห็นฟู่หมิงเฉิงรับเธอขึ้นรถที่นอกบ้านผู้อำนวยการคิมูระตอนเช้าตรู่เมื่อวานถาโถมเข้าใส่เขาเป็นคำรบที่สอง
ช่างเถิด สุดแท้แต่เธอ จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จะชอบฟู่หมิงเฉิงหรือเปล่า ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันทั้งนั้น
ปกติวิทยาลัยแพทย์ทหารห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าเรียน แต่ว่าเธอ…บางทีอาจอยู่ในกรณีพิเศษได้
เธอก็พูดเองว่ารู้สึกโชคดีที่มีโอกาสได้มาเข้าเรียนที่นี่ แล้วจะมัวถือสาว่าเธอเป็นหญิงหรือชายโดยไม่เลิกราให้ได้อะไรขึ้นมา
ก็ปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้ไปเถอะ
เป็นเรื่องยากที่จะมีคนใช้ชีวิตตามใจปรารถนาได้
ให้เธอได้มีชีวิตตามแบบที่เธอคิดก็ไม่เลวเลย
เฮ่อฮั่นจู่ขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากใจได้อย่างรวดเร็ว เขาโยนบุหรี่ทิ้ง ก้นบุหรี่ติดไฟหล่นลงบนพื้นหิมะก็ดับมอดไป ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไปเถอะ เธอควรกลับได้แล้ว”
ชายหนุ่มย่ำหิมะที่ถมทับบนพื้นไปขึ้นรถ
ซูเสวี่ยจื้อขานรับด้วยจิตใจที่ผ่อนคลาย เธอลอดตัวขึ้นรถตามเขาไป
ต่อจากนั้นไม่เกิดเหตุอะไรขึ้นอีก
เฮ่อฮั่นจู่ส่งเธอถึงหน้าประตูวิทยาลัย เธอกล่าวลากับเขาแล้วลงจากรถเดินเข้าไปเอง