บทที่ 3 ความผิดพลาด+ใต้แสงจันทร์
แม้สิ่งที่ไทเฮากล่าวจะเป็นประโยคคำถาม แต่ซูโม่อี้ก็รู้ว่านางไม่ได้มีความตั้งใจจะถามเขาเลย ในวันพระราชสมภพของผู้อาวุโส ที่นี่เต็มไปด้วยขุนนางบุ๋น ขุนนางบู๊ และพระราชวงศ์เฝ้ามองอยู่ เขาเองก็ไม่สามารถสาวเท้าหนีได้จริงๆ ดังนั้นจึงทำได้เพียงรับคำเบาๆ อย่างหนาวสันหลัง
ทันทีที่ไทเฮาได้รับความยินยอมจากเขาก็ขยิบตาให้กับฮองเฮาที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
น้องซูที่พูดถึงเป็นธิดาองค์เล็กของเฉินฮองเฮา ซึ่งเป็นหลานสาวแท้ๆ ของไทเฮา และนับว่าเป็นสหายเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ ของซูโม่อี้ เนื่องจากตอนยังเยาว์ร่างกายอ่อนแอและมักเป็นหวัดบ่อยๆ หมอหลวงจึงแนะนำให้ส่งไปเลี้ยงดูที่เจียงหนาน ซึ่งอบอุ่นกว่าเมืองเซิ่งจิง เวลาสิบปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากหญิงสาวตัวเล็กๆ ก็กลายเป็นสาวงามสะโอดสะอง เมื่อเดือนที่แล้วหลังจากหมอหลวงได้จับชีพจรแล้วก็คิดว่าร่างกายของนางหายดีแล้ว น่าจะกลับเมืองหลวงได้ เฉินฮองเฮาจึงได้ส่งคนไปรับนางกลับมา
ทางนี้บังเอิญไทเฮาได้ยินว่าฮ่องเต้ได้มอบหมายคดียากให้กับซูโม่อี้อีกแล้ว ขณะที่กำลังทอดถอนใจต่อว่าฮ่องเต้ที่คำนึงถึงแต่บ้านเมืองของตนเองเองโดยไม่เป็นห่วงหลานชายผู้นี้แม้แต่น้อยอยู่นั้น บางทีองค์หญิงจยาติ้งอาจจะต้องการกู้หน้าให้ผู้เป็นบิดา จึงได้สอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับท่านพี่ซูผู้นี้เล็กน้อย
ทั้งไทเฮาและฮองเฮาล้วนเป็นสตรีที่อยู่ในวังมาเป็นเวลานาน จึงเข้าใจความคิดความอ่านของเด็กสาวเหล่านี้มาโดยตลอด
ทั้งสองเอ่ยถามเพียงไม่กี่ประโยคก็ได้รู้ความคิดขององค์หญิงจยาติ้ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มหน้าหลบตา ใบหน้าแดงระเรื่อ จึงคิดว่าน่าจะเกี่ยวดองกันด้วยการอภิเษกสมรส และคงจะไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์เมื่อครู่ขึ้น
ไทเฮาจับแขนเสื้อกว้างของซูโม่อี้ไว้แน่นด้วยกลัวว่าเขาจะวิ่งหนีไป จับผ้าแพรทอลายก้อนเมฆสีฟ้าชั้นดีจนยับย่น
ซูโม่อี้ดึงแขนเสื้อด้วยความอึดอัด รู้สึกว่าตนเองเหมือนนักโทษที่ถูกคุมตัว
ขณะที่เขากำลังใคร่ครวญ เสียงฝีเท้าเบาและช้าผสมผสานกับเสียงหยกที่ใสกังวานและไพเราะ พร้อมกับเสียงหญิงสาวที่นุ่มนวลก็ดังขึ้นข้างหู
เว่ยซูโน้มกายไปทางซูโม่อี้ ก้มศีรษะเอ่ยด้วยความเขินอายว่า “คารวะท่านพี่”
สตรีที่อยู่ตรงหน้าสวมชุดชาววังสีชมพูรากบัว ซึ่งความจริงแล้วเป็นการแต่งกายที่ธรรมดาอย่างยิ่ง ทว่าเพราะผิวพรรณขาวผ่องและปิ่นระย้าหลายอันบนมวยผมของนางที่แกว่งไปมายามก้าวเดิน ทำให้นางดูเหมือนดอกท้อบนยอดไม้ในเดือนสี่ งดงามสดใสยิ่ง อีกทั้งยังนับว่าเหมาะสมและน่ามอง แม้แต่เสียงพูดก็ยังอ่อนหวานน่าฟัง รูปร่างเองก็อ่อนช้อยอรชร ซึ่ง…ทั้งหมดนี้แตกต่างจากญาติผู้น้องผู้หยิ่งทะนงและเอาแต่ใจในความทรงจำของซูโม่อี้อยู่บ้าง
ซูโม่อี้อดขมวดคิ้วไม่ได้ พร้อมกับเปล่งเสียง “เอ่อ…” ออกมา แขนเสื้อที่ถูกไทเฮาดึงเอาไว้ดูเหมือนจะเอียงไปเล็กน้อย
ซูโม่อี้ควบคุมอารมณ์เอาไว้ แล้วพยายามฝืนยิ้มออกมา
“ถวายบังคมองค์หญิงจยาติ้ง” น้ำเสียงนั้นแข็งทื่อราวกับกำลังสอบปากคำผู้ต้องสงสัย
“อื้ม” ไทเฮาจับมือเว่ยซูแล้วเอ่ยอย่างติดขบขัน “พวกเจ้ารู้จักกันตั้งแต่เด็ก เหตุใดตอนนี้พบกันจึงดูห่างเหินเช่นนี้ จำได้ว่าตอนที่เจ้ายังเด็กมักคอยเดินตามท่านพี่ซูของเจ้าทั้งวันเหมือนเป็นหางเล็กๆ ของเขากระนั้น”
หญิงสาวก้มศีรษะ ใบหน้าแดงระเรื่อ นางเอ่ยอย่างอ้ำอึ้งว่า “เสด็จย่าทรงอย่าล้อซูเอ๋อร์เลยเพคะ”
น้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนหวานเช่นนี้ ไม่ว่าบุรุษคนใดได้ฟังแล้วก็ต้องจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่คิ้วของซูโม่อี้กลับยิ่งขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนหว่างคิ้วทั้งสองปรากฏเส้นขึ้นสามเส้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของเขา นับตั้งแต่เขาเข้าสู่ศาลต้าหลี่เป็นต้นมา นักโทษหญิงที่ฆ่าสามีหรือลอบเป็นชู้เพื่อแย่งชิงสมบัติที่เขาพบเกือบทั้งหมดล้วนเป็นสตรีที่มีลักษณะงดงามเฉิดฉาย อ่อนช้อย และไม่มีพิษมีภัยเช่นนี้ เพราะสตรีเช่นนี้รู้จักใช้จุดเด่นของตนเองเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทอง ความรัก ความสงสาร และชีวิตของบุรุษ…
แขนเสื้อเอียงขึ้นไปอีก พอซูโม่อี้รู้สึกตัวก็พบว่าไทเฮามีสีหน้าเคร่งขรึมซึ่งแสดงความรู้สึกว่า ‘หากเจ้ากล้าไม่ตอบ เราจะได้เห็นดีกัน’
เขารู้สึกจนใจอย่างยิ่ง จึงลูบๆ หน้าผากตนเองแล้วยิ้มตามมารยาท
เมื่อเห็นเช่นนั้นไทเฮาจึงปล่อยมือ ก่อนจะผลักซูโม่อี้ไปทางเว่ยซูแล้วกล่าว “อย่าเห็นว่าซูเอ๋อร์ญาติผู้น้องของเจ้าพูดจาสุภาพอ่อนโยน ในช่วงหลายปีที่นางไปเจียงหนานยังได้ศึกษาการพิพากษาคดีแปลกๆ ด้วยตนเองด้วย เมื่อไม่กี่วันก่อนยังได้หาหนังสือรวบรวมการตรวจสอบบาดแผลมาหารือกับยายอยู่เลย”
ซูโม่อี้พยักหน้าอย่างห่างเหินยิ่งและไม่ได้พูดจาอันใด
เว่ยซูพยายามใช้คำพูดของไทเฮาให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ นางเอ่ยขึ้นว่า “ใช่แล้วเพคะ ในหนังสือเล่มนั้นบอกว่าสามารถใช้วิธีหยดเลือดบนกระดูกศพพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางสายเลือดได้ นี่เป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินมาก่อน…”
“เพราะนั่นเป็นเรื่องหลอกลวง” ซูโม่อี้ขัดจังหวะเว่ยซูด้วยสีหน้าเย็นชา โดยไม่เห็นแก่หน้าใครแม้แต่น้อย
เว่ยซูพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ได้แต่ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “แต่…ข้าเห็นในหนังสือกล่าวไว้…”
“ของเหลวจะซึมเข้าไปในกระดูกก็เพราะมีรอยร้าวเล็กๆ ในกระดูก ไม่เกี่ยวกับมีหรือไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด” ดวงตาทั้งคู่ของซูโม่อี้มองตรงไปข้างหน้า มือลูบแขนเสื้อที่ไทเฮาจับจนยับนั้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมต่อว่า “หากทรงชอบการพิพากษาและการตรวจสอบบาดแผลลองอ่านหนังสือทางการแพทย์ให้มากๆ จะดีกว่าการเชื่อคำพูดที่ไม่มีมูลความจริงที่เล่าลือต่อๆ กันไปตามท้องถนนง่ายๆ”