บทที่ 5 ผู้มาใหม่+เบาะแส
เหลียงเว่ยผิงแข้งขาอ่อน รู้สึกว่าถึงต้องยืนก็ยืนไม่อยู่แล้ว
ใช่ เขาเคยสงสัยในสถานะของหลินหวั่นชิงไม่ใช่เพียงครั้งเดียว
ดวงตาเป็นประกาย ใบหน้างดงาม ผิวขาวผ่อง เอวบาง…คนตรงหน้าผู้นี้ดูอย่างไรก็ควรจะเป็นสตรี แต่เป็นเวลากว่าร้อยปีมาแล้วที่ราชวงศ์ใต้ไม่อนุญาตให้สตรีเข้าร่วมสอบเคอจวี่ การเป็นขุนนางยิ่งไม่ต้องพูดถึง สาเหตุที่เหลียงเว่ยผิงสงสัยนับครั้งไม่ถ้วนแต่ก็ไม่อาจยืนยันได้ เป็นเพราะเขาไม่เชื่อว่าจะมีสตรีที่ยินยอมรับโทษฐานหลอกลวงฮ่องเต้ ดังนั้นเขาจึงคิดไม่ตก
เมื่อคิดถึงการหลอกลวงฮ่องเต้ เหลียงเว่ยผิงก็กลืนน้ำลาย…ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เขาก็รู้เรื่องนี้แล้วเช่นกัน จะถือว่าปกป้องคนผิดและหลอกลวงฮ่องเต้ด้วยหรือไม่
บางทีอาจจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้จากใบหน้าที่ประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวเขียวของเหลียงเว่ยผิง หลินหวั่นชิงจึงพูดเสริมว่า “พี่เหลียงไม่ต้องกังวล เรื่องนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่รู้ หากมีวันที่เรื่องแดงออกมาเจ้าก็เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้เสีย ข้าจะไม่มีวันทรยศพี่เหลียงอย่างแน่นอน”
“อืม” เหลียงเว่ยผิงพยักหน้า ถึงไม่อยากรู้ก็รู้แล้ว เขาจะสามารถลืมมันได้จริงๆ หรือ เพียงแต่ต่อไปนี้…
เหลียงเว่ยผิงก้มศีรษะลง สายตามองไปที่เสื้อคลุมที่ขาดวิ่นของหลินหวั่นชิง ไม่รู้จะทำอย่างไรดีไปชั่วขณะ
หลินหวั่นชิงเห็นสายตาของเหลียงเว่ยผิงก็หันมองดูหลังของตนเอง เสื้อคลุมสีเทาอ่อนมีเลือดซึมออกมาจำนวนมากและมีรอยปริบางส่วน แต่โชคดีที่ช่วงนี้อากาศไม่ร้อนและเสื้อตัวในก็สวมไว้ค่อนข้างแน่นหนา จึงไม่เห็นผ้ารัดหน้าอกด้านในโผล่ออกมา
หลินหวั่นชิงจึงพูดกับเหลียงเว่ยผิงว่า “ตอนนี้ข้าไม่มีใครที่ไว้ใจได้ อย่างไรเสียรบกวนพี่เหลียงช่วยทำความสะอาดบาดแผลให้ข้าด้วย”
เหลียงเว่ยผิงตกตะลึง มือทั้งสองข้างแทบจะพันกัน แต่หลังจากสับสนอยู่ครู่ใหญ่เขาก็เดินไปที่ตู้เตี้ยๆ ข้างผนังแล้วหยิบกรรไกรมาเล่มหนึ่ง
เสียงฉับๆ ดังขึ้น หลินหวั่นชิงหนาวสันหลัง เสื้อผ้ายังพอทำเนา แต่ผ้ารัดหน้าอกด้านในนั้นเปื้อนเลือด หลังจากแห้งแล้วก็ติดกับเนื้อหนังที่ปลิ้นออกมา เพียงดึงเบาๆ กลับเจ็บเสียจนตาลาย เหลียงเว่ยผิงขยับเพียงสองครั้ง เมื่อเห็นท่าทางกัดฟันกลั้นหายใจก็ไม่กล้าลงมืออีก
บางทีอาจเป็นเพราะดึงบาดแผลจนเจ็บเกินไป ขณะที่หลินหวั่นชิงหายใจหอบอยู่บนเตียง ด้วยความเสียใจน้ำตาหลายหยดก็ไหลลงมา น้ำตามีรสชาติเค็มมาก เหมือนเกลือที่ข้ามกาลเวลามาเมื่อสิบสองปีก่อน จู่ๆ ความรู้สึกน้อยใจหรือไม่ยอมแพ้ที่อธิบายไม่ถูกก็พรั่งพรูขึ้นมา นางยืนขึ้นแล้วฉีกผ้าด้านหลังออกอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เลือดที่บาดแผลเพิ่งหยุดไหล เมื่อถูกนางดึงเช่นนี้ก็ไหลทะลักออกมาอีกครา
เหลียงเว่ยผิงมองดูอย่างหวาดกลัว อยากจะเข้าไปห้าม กลับติดที่อุปสรรคชายหญิง ไม่รู้จะลงมืออย่างไรดี
ในเวลานี้เองด้านนอกประตูมีเสียงเคาะดังขึ้น ทั้งสองต่างตกใจ
หลินหวั่นชิงรีบใช้ผ้าห่มห่อตนเองไว้แล้วถอยกลับไปด้านในของเตียง
“นั่นใคร” ร่างกายที่ ‘ไม่แข็งแรง’ ของเหลียงเว่ยผิงยืนบังอยู่ที่หน้าเตียง กางแขนที่สั่นเล็กน้อยออกแล้วถามออกไปอย่าง ‘เข้มแข็ง’
“ข้าเอง เยี่ยชิง องครักษ์ของใต้เท้าซูแห่งศาลต้าหลี่”
คนทั้งสองในห้องได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะหยุดหายใจ
เหลียงเว่ยผิงถลึงตาด้วยความหวาดกลัว เขาหันไปมองหลินหวั่นชิง กลับเห็นหลินหวั่นชิงมองเขาด้วยท่าทางหวาดกลัวเช่นกัน
ก๊อกๆๆ…
ประตูไม้บางๆ สั่นไหวอีกครั้ง ครานี้แม้แต่เตียงก็พลอยสั่นไปด้วย
หลินหวั่นชิงคิดว่าหากเยี่ยชิงเคาะประตูแรงขึ้นอีกสักนิด ประตูเก่าๆ นั่นคงจะถูกเคาะจนพังเป็นแน่ ดังนั้นการที่พวกเขากำลังสับสนว่าจะเปิดหรือไม่เปิดประตูดีดูเหมือนจะไม่มีความหมายแล้ว…
สุดท้ายเมื่อประตูถูกเปิดออก สิ่งที่เยี่ยชิงเห็นคือเหลียงเว่ยผิงที่มีเหงื่อออกเต็มศีรษะ ยืนเท้าโงนเงนเฝ้าอยู่ที่หน้าเตียงของหลินหวั่นชิง ส่วนหลินหวั่นชิงซึ่งอยู่บนเตียงใช้ผ้าห่มห่อร่างตนเองเหมือนบ๊ะจ่าง ไม่เหลือช่องโหว่แม้แต่น้อย สายตาที่คนทั้งสองมองเขาดูพยายาม ‘หลบหลีก’ อีกทั้งในสายตาของหลินหวั่นชิงยังมีแววป้องกันตัวเล็กน้อยอีกด้วย
เยี่ยชิงเป็นคนหยาบกระด้าง เขาไม่เข้าใจความวกวนในจิตใจของผู้คนมาโดยตลอด จึงคร้านที่จะเอ่ยถาม ได้แต่นำยาสมุนไพรสองห่อใหญ่บนหลังวางไว้ที่โต๊ะตัวเตี้ยในห้องพลางกล่าวขึ้นว่า “นี่คือยาที่ใต้เท้าซูให้ข้านำมามอบให้”
หลินหวั่นชิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง นางไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง
เยี่ยชิงเอื้อมมือไปคลำหน้าอกอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะหยิบขวดกระเบื้องวางลงบนโต๊ะ “ใต้เท้าซูฝากคำพูดให้ข้ามาบอกเจ้าว่าหากรักษาอาการบาดเจ็บหายดีแล้วให้ไปรายงานตัวที่ศาลต้าหลี่”