หลินหวั่นชิงพูดไม่ออก นางอ้ำอึ้งเอ่ยว่า “ข้า…ดูเหมือนข้าจะเห็นผู้ที่ลอบสังหารหวังหู่…”
“อ้อ?” ซูโม่อี้วางหนังสือในมือลงอย่างสบายๆ เขาโน้มตัวไปหมอบกับขอบอ่างอาบน้ำ มองหน้านางแล้วถามต่อ “แล้วจับได้หรือไม่”
“ไม่ได้…แต่…ยังคงไล่ตามอยู่…” หลินหวั่นชิงพูดพร้อมกับค่อยๆ นอนเปลี่ยนทิศทางอยู่บนพื้นอย่างเงียบๆ แล้วยืนขึ้นอย่างตัวสั่นงันงก
“ใต้เท้า…ท่านค่อยๆ อาบ…ข้า…จะไปดูที่อื่นต่อ…” นางลุกขึ้นยืนแล้วเก็บลูกดอกแขนเสื้อ แม้แต่น้ำบนร่างกายก็ไม่ทันเช็ด ก้าวขาได้ก็วิ่งหนีทันที
แต่ขณะที่เงยหน้ากลับเห็นกระจกสำริดที่พิงอยู่บนฉากกั้น ในเงาสะท้อนรางๆ นั้น ด้านหลังของซูโม่อี้…
เงาดำนั่น!
นางหลับตาปี๋ ไม่มีเวลาคิดมาก หันหลังกลับแล้วดึงกลไกในมือไปทางเงาดำนั้นทันที!
ในเวลาเดียวกันเสียงน้ำไหลล้นออกมา หลินหวั่นชิงเห็นคลื่นน้ำจำนวนมากปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาอย่างน่าประหลาดใจ สะท้อนเป็นประกายแวววาวภายใต้แสงเทียนที่พลิ้วไหว ทว่าด้านหลังคลื่นนั้น…ส่วนโค้งเว้าของร่างกายที่แข็งแรงไร้ที่ติได้สัดส่วน ตลอดจนสิ่งที่เขามีแต่นางไม่มีนั้นสะท้อนลงบนน้ำและเปลวเทียนแล้วปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด! นางกลั้นหายใจทันที และลูกดอกแขนเสื้อก็พลาดเป้า ยิงเข้าที่กระจกสำริด
เปลวเทียนในห้องถูกดับลงด้วยน้ำที่ซูโม่อี้สาดออกไป ความมืดในพริบตานี้ทำให้ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าหลินหวั่นชิงอันตรธานไปทันใด
ในความมืดนี้นางมองไม่เห็นซูโม่อี้ และแน่นอนว่าย่อมไม่เห็นเงาดำนั้นด้วย จึงได้แต่ยืนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะเพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
“อยู่ตรงนี้อย่าขยับ” เสียงบุรุษที่คุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหู ไอร้อนผสมกับกลิ่นหอมของไม้สนและหญ้าสดที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาแต่เพียงผู้เดียวส่งกลิ่นหอมอยู่ที่ปลายจมูกนาง
หัวใจของหลินหวั่นชิงสั่นไหว รู้สึกว่าที่ใต้ฝ่าเท้าชามากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อสายลมพัดมาเบาๆ แสงสีขาวก็วาบผ่านเบื้องหน้า ความรู้สึกที่สัมผัสได้คือผ้าไหมที่นุ่มนวล ซูโม่อี้รีบหยิบเสื้อคลุมตัวในสีขาวที่อยู่บนฉากกั้นอย่างรวดเร็วแล้วสวมทับร่างสะอาดของตนเอง
ขณะที่แสงจันทร์สาดส่องก็มีเสียงลมพัดใบไม้ดังก้องอยู่ที่ข้างหู คนผู้นั้นถืออาวุธ และมีเสียงของบางสิ่งบางอย่างแหวกอากาศดังวิ้วๆ คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะกำลังร่ายรำกระบี่อย่างรวดเร็ว
ไม่รู้ว่าใครสู้ใครไม่ไหว ภายในไม่กี่กระบวนท่าก็มีคนถูกโจมตีจนขาปัดเล็กน้อย ทำให้เคลื่อนไหวตามกระบวนท่าอย่างต่อเนื่องได้ยากแล้ว
“อ๊าก…” มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงฉากกั้นในห้องแตกละเอียด ก่อนที่ภายในห้องจะเงียบงันไป
หลินหวั่นชิงต้องยืนอยู่กับที่เป็นเวลานาน อีกทั้งต้องอาศัยแสงจันทร์ช่วยการมองเห็นของนางจึงจะสามารถฟื้นคืนสู่สภาพเดิมได้
เมื่อเบื้องหน้าชัดเจนขึ้นเล็กน้อย ในเวลานี้กลับได้ยินเสียงดังขึ้นอีกครั้ง นางไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายถูกโจมตี แต่คิดว่าซูโม่อี้ซึ่งเป็นขุนนางบุ๋นทั้งในมือไม่มีอาวุธและไม่ได้สวมเสื้อผ้าน่าจะเคลื่อนไหวไม่สะดวก จึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการต่อสู้
นางรู้สึกตกใจและไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่น ได้แต่ฟาดฝ่ามือไปที่เงาดำที่ยืนอยู่ เงาดำมีการตอบสนองรวดเร็วมาก เอียงกายหลบอย่างคล่องแคล่วราวกับปลาที่ไหลลื่นตัวหนึ่ง
ในวัยเด็กหลินหวั่นชิงได้ฝึกวิชาเตะต่อยง่ายๆ กับบิดาผู้ให้กำเนิดมาเล็กน้อย และตอนนี้ก็อาศัยความกล้าหาญซัดกระบวนท่าใส่เงาดำนั้นอีกครั้ง ครานี้นางโจมตีไปที่แขนของเงาดำ คนผู้นั้นก็ยกมือโบกหนึ่งครั้ง พลิกมือมัดนางไว้ แล้วถือโอกาสบิดตัวจนตัวของนางตกลงไปอยู่ใต้ร่างเขา แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้คิดที่จะปล่อยตัวนาง กลับจับตัวนางไว้และตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
หลินหวั่นชิงฉวยโอกาสเตะไปที่หว่างขาเขาอย่างแรง! เขาตกใจทันที โน้มตัวไปข้างหน้าแล้วกระโดดหลบ ก่อนสะบัดตัวนางขึ้นไปในอากาศเหมือนหิ้วตุ๊กตาผ้า แล้วทิ้งลงตรงหน้าอีกครั้ง
แต่ครานี้เป็นเพราะพื้นลื่นเกินไป คนผู้นั้นยืนไม่มั่นคง จึงเสียหลักกำลังจะล้มลงไป เขากอดหลินหวั่นชิงไว้กับอก ขาทั้งสองข้างหนีบตัวนางไว้ จากนั้นก็ออกแรงที่กลางลำตัว กอดนางแล้วล้มลงไปด้วยกัน
ช่างเป็นมือสังหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีจริงๆ!
หลินหวั่นชิงรู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา และตอนนี้ต้องการเพียงปลีกตัวออกไปให้เร็วที่สุด นางฉวยโอกาสตอนที่มือสังหารหนีบตัวนางไว้จนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ชกเข้าไปที่เอวของเขา ทว่าถึงอย่างไรนางก็สู้เขาไม่ได้ ขณะที่หมัดนั้นสัมผัสที่ท้องน้อยของเขาก็ถูกเขาปัดออกด้วยฝ่ามือราวกับปัดฝุ่นดินกระนั้น
มือของหลินหวั่นชิงอ่อนแรงลง หมัดไม่เป็นหมัด กลายเป็นฝ่ามือที่อ่อนล้ายิ่ง จุดที่ตกลงยังต่ำกว่าจุดเดิมหลายนิ้ว