แต่ฉู่จิงหงกลับยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “ครั้งนี้ผมต้องเดินทางไกลจริงๆ เพราะมีไฟลต์บินสิบโมงกลับมองโกเลีย ยังไงวันนี้คงไปไม่ทันแล้ว แต่คุณสบายใจได้ ถึงผมจะเลี้ยงมันไม่ได้ แต่ก็หวังว่ามันจะมีบ้านที่ดี คงต้องรบกวนคุณให้ช่วยหาเจ้าของใหม่ให้มันด้วย รับรองว่าผมจะไม่อาละวาดไปขอหมาคืนจนทำให้เราทั้งสองฝ่ายต้องมีเรื่องวุ่นวายเด็ดขาด”
สวีเจ้าอิ่งมองเห็นความจริงใจในดวงตาของชายหนุ่ม เธอจึงระบายลมหายใจออกมาอีกครั้ง “คุณเอาแต่ผัดผ่อนไปเรื่อยแบบนี้แล้วจะให้ฉันเชื่อคุณได้ยังไง”
ฉู่จิงหงชะงัก ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะหึๆ “ดูท่าจะมีการเข้าใจผิดกันเยอะมาก แต่ไม่เป็นไรครับ ต่อให้คุณไม่เชื่อก็ทำอะไรไม่ได้ ผมเองก็ไม่มีเวลาอธิบายเหมือนกัน” เขาดึงฮู้ดออก ยิ้มพลางหยิบบัตรหนึ่งใบจากกระเป๋ามายัดใส่มือของหญิงสาว “คุณยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม นี่เป็นคูปองมื้อเช้า คุณไปกินขนมจีบที่ร้านผมได้ รสชาติแบบมองโกเลียแท้ๆ”
ไม่รอให้สวีเจ้าอิ่งได้ปฏิเสธ ฉู่จิงหงก็วิ่งไปที่บันไดแล้ว หญิงสาวมองคูปองมื้อเช้าในมือเงียบๆ มันเขียนไว้ว่า ‘ขนมจีบสองชั่ง’
แม้จะเดินผ่านร้านบ้านฟาร์ม แต่สวีเจ้าอิ่งก็ไม่ได้เข้าไปในร้าน เธอแค่ซื้อน้ำเต้าหู้หนึ่งแก้วกับปาท่องโก๋หนึ่งตัวจากร้านอาหารเช้าข้างทางเท่านั้น พอน้ำเต้าหู้ร้อนๆ เข้าไปในท้อง กระเพาะของสวีเจ้าอิ่งก็ค่อยๆ รู้สึกดีขึ้น อาการปวดศีรษะก็บรรเทาลง เธอนั่งอยู่ในร้านอาหารเช้าซึ่งมองเห็นป้าย ‘บ้านฟาร์ม’ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน
ป้ายร้านอาหารดูเชิญชวนพอๆ กับเจ้าของร้าน ในความทรงจำของเธอผู้ชายทางเหนือนั้นมีน้ำใจเปิดเผย แต่สำหรับฉู่จิงหงนอกจากลักษณะภายนอกแบบเฉพาะของคนทางเหนือแล้ว นิสัยใจคอกลับดูน่ากลัว ชวนให้รู้สึกไม่สบายใจ คนห้าใหญ่สามหนาแบบนั้นน่ะเหรอจะกลัวเจ้าขนปุย แล้วแบบนี้เขากลัวลูกขนไก่ด้วยหรือเปล่า หรือเป็นเพราะเขาเปิดร้านอาหารทำให้ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมากมายเลยเกิดกลัวขึ้นมา
ไม่ๆๆ นี่จะต้องเป็นข้ออ้างที่เขาขุดขึ้นมาเพื่อปัดความรับผิดชอบต่อพีพีแน่ๆ
เนื่องจากหลายวันมานี้อากาศอุ่นขึ้น หิมะยังไม่จับตัวหนานัก ทำให้พอแดดออกได้สองสามวันหิมะก็ละลายหายไปหมด ในบ่ายวันหนึ่งที่แสงแดดสดใสสวีเจ้าอิ่งก็ได้รับสายจากเมิ่งเทียนเทียนว่าเธอหาครอบครัวอุปถัมภ์ให้พีพีได้แล้ว
“เธอรู้จักคนคนนี้เหรอ”
“สนิทกันน่ะ หนุ่มโสดเนื้อทองเฉิงจยาโหย่ว ตากล้องจำเป็นของนิตยสารเรา เป็นคนไนซ์มากนะ ถึงแม้ว่าเราจะยังต้องมานั่งถกกันว่าเขาเหมาะเป็นผู้อุปถัมภ์หรือเปล่า แต่ฉันขอการันตีว่าเขาเป็นคนพึ่งได้ก็เลยมาบอกก่อน เธอจะได้ไม่ต้องนอนไม่หลับเพราะเรื่องนี้”
สวีเจ้าอิ่งหลุดขำออกจมูก “เรื่องนี้มีเหรอจะทำอะไรฉันได้ แต่คนที่เธอกล้าการันตีแบบนี้ คงไม่ได้มีซัมธิงกับเธอหรอกใช่ไหม”
“ฉันสาบานได้ว่าไม่มีอะไรจริงๆ เฉิงจยาโหย่วบอกว่าอีกสองวันจะไปดูพีพีที่โรงพยาบาลเธอก็เลยให้ฉันมาบอกไว้ล่วงหน้า เห็นแก่ที่เขาเป็นเพื่อนฉัน ฝากช่วยดูแลหน่อยแล้วกัน”
เมิ่งเทียนเทียนงานยุ่งมาก ทั้งสองคนจึงคุยโทรศัพท์กันอีกแค่สองสามนาทีก่อนจะวางสาย สวีเจ้าอิ่งรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย เห็นว่าเธอเป็นหญิงแกร่งนิสัยโผงผางแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วเธอเป็นหญิงสาวใจอ่อน ลองว่าเธอได้ใส่ใจกับอะไรสักอย่างแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้สำเร็จ สวีเจ้าอิ่งอ่านบทความวิชาการในนิตยสารที่ได้รับการรับรองจากทางการแพทย์เล่มล่าสุดจนจบก็เตรียมตัวออกจากโรงพยาบาล