วันนี้สวีเจ้าอิ่งไม่มีอารมณ์ทำอะไรทั้งนั้น พอจัดการงานในมือเสร็จก็ว่าจะออกไปดูเจ้าขนปุยในโรงพยาบาลทุกตัว แล้วเตรียมออกจากสถานที่ที่ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวแห่งนี้ชั่วคราว สวีเจ้าอิ่งเป็นคนโผงผาง อารมณ์แรงแต่ใจอ่อน โดยเฉพาะหลังจากได้เห็นพีพีที่มีท่าทางเศร้าซึมแบบนั้น เธอยิ่งทำใจไม่ได้
แต่ต่อให้วันนี้เธอไม่อยากออกไปข้างนอกเอามากๆ ขนาดไหน ทว่าเธอกลับโทรหาเมิ่งเทียนเทียนอีกครั้ง “ตอนนี้ฉันหายปวดหัวแล้ว พวกเราไปกินข้าวกัน ฉันเลี้ยงเอง”
ปกติแล้วเพื่อนของผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จย่อมไม่มีทางเป็นพวกทหารกุ้งขุนพลปู โดยเฉพาะเพื่อนสนิทของสวีเจ้าอิ่ง เมิ่งเทียนเทียนกับสวีเจ้าอิ่งนั้นอายุไล่เลี่ยกัน ทั้งสองคนรู้จักกันตอนไปโต้คลื่น และแค่เมิ่งเทียนเทียนชวนแบบไม่คิดอะไร สวีเจ้าอิ่งก็เดินทางมาเซี่ยงไฮ้แบบคนที่มีปณิธานแรงกล้า นับตั้งแต่นั้นมาทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน เมิ่งเทียนเทียนเองก็ไม่ใช่คนธรรมดา เพราะเป็นถึงบรรณาธิการนิตยสารแฟชั่น ซึ่งนิตยสารที่เธอทำนั้นมียอดขายเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ และไม่เพียงแค่นี้ เมิ่งเทียนเทียนยังเป็นสมาชิกของสมาคมคุ้มครองสัตว์ของเซี่ยงไฮ้ด้วย แต่ถึงจะมีงานเยอะแยะขนาดนั้นหญิงสาวกลับยังใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ และเป็นตัวเอง
ทั้งสองคนเลือกร้านอาหารชั้นดีที่เพิ่งเปิดใหม่แห่งหนึ่ง ตอนที่อาหารยังไม่มาเสิร์ฟ เมิ่งเทียนเทียนเอาแต่เอานิ้วสไลด์โทรศัพท์มือถืออวดรูปนายแบบที่ได้ขึ้นปกนิตยสารเล่มใหม่ให้สวีเจ้าอิ่งดู แต่เธอไม่สนใจ
“ฉันมีเรื่องค่อนข้างซีเรียสอยากคุยด้วย เธอช่วยหาครอบครัวที่พอจะรับเลี้ยงหมาในโรงพยาบาลฉันสักตัวได้ไหม”
เมิ่งเทียนเทียนกะพริบตาปริบๆ ตอบกลับน้ำเสียงตื่นตกใจ “เธอนัดฉันออกมาเพราะเรื่องนี้เองเหรอ”
“เธอก็รู้ว่าฉันไม่ใช่พวกอ้อมค้อม มีอะไรก็พูดก็บอก”
เมิ่งเทียนเทียนวางโทรศัพท์มือถือลง “คนที่ไปโรงพยาบาลเธอได้จะต้องเป็นพวกมีเงิน การที่คนมีเงินทำเรื่องทำนองนี้ยิ่งน่ารังเกียจเข้าไปใหญ่”
“เจ้าของจ่ายค่าเลี้ยงดูให้เยอะนะ แต่โรงพยาบาลฉันรับเลี้ยงระยะยาวไม่ได้ และเงินก็ซื้อครอบครัวที่อบอุ่นให้กับสัตว์ไม่ได้ด้วย”
เธอคิดไม่ผิดที่ไหว้วานเมิ่งเทียนเทียนในเรื่องนี้ เพราะเพื่อนของเธอรับคำอย่างหน้าชื่นตาบาน ทำให้สวีเจ้าอิ่งสบายใจจนสามารถกินอาหารด้วยความสบายอารมณ์
เมิ่งเทียนเทียนนั้นเป็นพวกดื้อด้านไม่เปลี่ยน พอเห็นหนุ่มหล่อทีไรเป็นต้องตาวาว น้ำลายไหล เย็นวันนี้เธอเอาแต่แย่งเล่าถึงเรื่องที่ตัวเองได้ไปเจอหนุ่มหล่อๆ ให้ฟัง การที่จะเป็นเพื่อนสนิทของสวีเจ้าอิ่งได้นั้นแสดงว่าเมิ่งเทียนเทียนต้องไม่ใช่คนธรรมดา และยังรับนิสัยของสวีเจ้าอิ่งได้อย่างดีด้วย
“มันเป็นเรื่องธรรมดาแหละที่จะหาคนที่เหมาะสมกัน แต่เธอเล่นเกมกับหนุ่มๆ พวกนี้ทุกวันไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือไง” สวีเจ้าอิ่งบ่นเหมือนตัวเองเป็นแม่ของอีกฝ่ายทุกครั้ง
เมิ่งเทียนเทียนเองก็บ่นราวกับเป็นแม่ของสวีเจ้าอิ่งกลับมาไม่ต่างกัน “ไม่! ไม่เหนื่อยเลยสักนิด มีแต่พวกไร้รักเท่านั้นแหละที่ไม่ต่างจากผักกาดขาวเหี่ยวๆ แค่จะคว้าผู้ชายสักคนมาอยู่ด้วยตลอดชีวิตยังทำไม่ได้ มัวแต่คิดจะหาคนที่เหมาะสม แบบนี้จะยิ่งหาไม่เจอหรือเปล่า ดูอย่างฉันสิ…มีความรักแบบใจเต้นมาตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้ว”
“ไม่ใช่เด็กสาวๆ แล้ว ยังจะเอาความรักแบบใจเต้นไปทำอะไร หรือเธอยังยุ่งไม่พอ?”
มีแต่เวลาถกเถียงกันเรื่องความรักเท่านั้นที่ทั้งคู่จะพูดจาบลัฟฟ์กันเช่นนี้ สวีเจ้าอิ่งรู้สึกไม่ชอบใจนักที่เมิ่งเทียนเทียนเปลี่ยนแฟนทุกวัน แต่ก็ยังคงร่ำร้องหาความรัก ส่วนเมิ่งเทียนเทียนเองก็ไม่ปลื้มเท่าไหร่กับการทำตัวหัวโบราณของเพื่อน เพียงเพราะเคยผิดหวังเรื่องความรักมาครั้งหนึ่งจนสูญสิ้นความไว้วางใจต่อโลก
การพบกันครั้งนี้จึงจบลงด้วยการแยกย้ายกันไปแบบไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ เพราะต่างคนต่างพ่นวาจาร้ายกาจใส่กัน