ฉู่จิงหงถูกสวีเจ้าอิ่งแซะอยู่หลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ความอดทนของเขามาถึงขีดจำกัดแล้ว สีหน้าของชายหนุ่มเลยดูไม่ดีนัก “ตราบใดที่ยังไม่เซ็นเอกสารสละสิทธิ์การเลี้ยงดู หมาก็ยังเป็นของผม ผมจ่ายค่าเลี้ยงดูให้พวกคุณ และตอนนี้ผมต้องการเอาสิ่งที่เป็นของผมคืน ทำไมจะทำไม่ได้”
ตึง!
สวีเจ้าอิ่งขว้างหนังสือบนโต๊ะลงพื้นเสียงดังลั่น “พอหรือยัง?! อย่านึกว่าฉันไม่มีน้ำโหอะไรแล้วคุณจะมาทำตัวกร่างที่นี่ได้นะ”
ฉู่จิงหงหน้าเหวอ มองดูสวีเจ้าอิ่งที่กำลังกดสวิตช์ลำโพง ก่อนจะคลิกเม้าส์คอมพิวเตอร์เพื่อเปิดคลิปบันทึกเสียง
มันเป็นคลิปเสียงเมาๆ ของฉู่จิงหงที่เอาแต่พูดจาไร้สาระกับสวีเจ้าอิ่ง พอฉู่จิงหงตั้งใจฟังแล้วถึงเพิ่งจะเข้าใจได้ว่าเหตุการณ์ในคลิปเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนหญิงสาวไปขอยืมโทรศัพท์ร้านอาหารโทรหาเขา
ฉู่จิงหงเผลอลอบสำรวจผู้หญิงรูปร่างเล็กบอบบางตรงหน้า แม้เธอจะดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่พฤติกรรมและการแสดงออกต่างๆ กลับทำให้รู้สึกเอ็นดูไม่ลง
“คุณอัดคลิปไว้?”
“คุณเป็นคนพูดเองนี่ ลูกผู้ชายอกสามศอกจะตระบัดสัตย์ไม่ได้”
ฉู่จิงหงย่นหัวคิ้ว “คำพูดของคนเมาเชื่อถือไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นผมไม่ได้คิดจะผิดสัญญา แค่จะยืมหมาไปสองวัน พอแฟนเก่าผมไปแล้วก็จะเอากลับมาส่งคืนให้”
สวีเจ้าอิ่งยังทำงานไม่เสร็จจึงต่อสายออกไป หนึ่งนาทีต่อมาพนักงานรักษาความปลอดภัยก็ขึ้นมาที่ห้อง สวีเจ้าอิ่งออกคำสั่งโดยไม่ได้เงยหน้า “ส่งแขก”
พนักงานรักษาความปลอดภัยที่สวีเจ้าอิ่งว่าจ้างมาด้วยราคาแพงลิบเป็นทหารหน่วยพิเศษที่ปลดประจำการ ฉู่จิงหงมอง รปภ. รูปร่างล่ำบึ้กที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินออกไป
ประตูถูกปิดลงแล้ว ห้องทำงานจึงกลับคืนสู่ความเงียบสงบ
ห้านาทีต่อมาเธอก็เห็นเบอร์โทรศัพท์ของฉู่จิงหงโทรเข้ามา หญิงสาวกดตัดสายทันที ทว่าฉู่จิงหงก็ไม่ยอมแพ้ ทำให้สวีเจ้าอิ่งต้องปิดโทรศัพท์มือถือหนี
สวีเจ้าอิ่งวางปากกาในมือลงก่อนจะนวดศีรษะเบาๆ เธอเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า ผ่านไปสักพักจึงลุกขึ้นไปเก็บหนังสือที่ตนเหวี่ยงลงบนพื้นเพื่อเอามันกลับมาวางไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม
มองจากหน้าต่างห้องทำงานออกไปเห็นเมืองเซี่ยงไฮ้ทั้งเมืองถูกอาบไล้ไปด้วยแสงสีทอง รถราบนถนนวิ่งกันขวักไขว่ สวีเจ้าอิ่งรู้สึกเศร้าใจและจิตตกนิดๆ ว่าตัวเองกำลังค้นหาอะไรอยู่…ทำไมยิ่งเดินยิ่งมองไม่เห็นอนาคต เวลานี้นอกจากหาเงินแล้วเธอก็ไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิตอีกเลย แล้วเช่นนี้เธอจะหาเงินไปเพื่ออะไรกัน
สวีเจ้าอิ่งยืนครุ่นคิดอยู่ที่ข้างหน้าต่างอีกพักใหญ่ สุดท้ายก็โคลงศีรษะเพื่อไล่ปัญหาพวกนั้นออกไป วันนี้ที่เธออารมณ์ไม่ดีเป็นเพราะฉู่จิงหงล้วนๆ เพราะเอาเข้าจริงต่อให้ตอนนี้ยังหาเป้าหมายไม่เจอ การหาเงินย่อมไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร และขืนยังมีความคิดแบบนี้ต่อไปเธอคงไม่พ้นได้แต่ชิงชังโลกแน่ๆ
เธอหมดอารมณ์ทำงานก็เลยนัดเมิ่งเทียนเทียนออกมาพักสมอง แต่กว่าเมิ่งเทียนเทียนจะมาตามเวลานัดได้ สวีเจ้าอิ่งก็วิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้าไปได้ห้ากิโลเมตรแล้ว เมิ่งเทียนเทียนมองเพื่อนสนิทที่เริ่มวิ่งอย่างช้าๆ เนื้อตัวมีเหงื่อเปียกซ่กก็ตกใจ
“ไปโดนของอะไรมาน่ะ”
“เจอปีศาจร้ายพันปีวนเวียนอยู่รอบตัวน่ะสิ ไม่ยอมไปผุดไปเกิดสักที”
เมิ่งเทียนเทียนขำพรืด “เธออ่านนิยายเยอะไปแล้ว พูดซะน่ากลัว”