สวีเจ้าอิ่งไม่สนใจเมิ่งเทียนเทียน เธอลุกขึ้นไปวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้าต่ออีกสามกิโลเมตรแล้วถึงหยุด และเนื่องจากไม่ได้ออกกำลังกายนาน ทำให้ตอนกลับบ้านขาทั้งสองข้างของสวีเจ้าอิ่งก็แทบยกไม่ขึ้น ตอนลิฟต์ขึ้นไปถึงชั้นสิบแล้วประตูลิฟต์เปิดออก สวีเจ้าอิ่งสะดุ้งจนเกือบล้มก้นจ้ำเบ้า
ฉู่จิงหงที่สวมหมวกแก๊ปยืนอยู่นอกลิฟต์ ใต้แสงไฟตรงระเบียงทางเดิน เงาของหมวกแก๊ปทำให้มองเห็นหน้าเขาได้ไม่ชัดนัก แต่สวีเจ้าอิ่งมองจากรูปร่างของคนตรงหน้าแค่ปราดเดียวก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นเขา หญิงสาวลังเลเล็กน้อยก่อนเดินออกจากลิฟต์ไป
“กลับมาแล้วเหรอ”
น้ำเสียงของฉู่จิงหงดูเหนื่อยล้าและทุ้มต่ำจนฟังไม่ออกว่ากำลังอารมณ์ดีหรือร้าย สวีเจ้าอิ่งนึกกลัวแต่ก็ทำตัวนิ่งๆ เอาไว้ได้
“คุณมาทำอะไรหน้าบ้านฉัน?!”
ฉู่จิงหงไม่ได้ตอบคำถามนั้น และนั่นยิ่งทำให้ความหวาดกลัวในใจของสวีเจ้าอิ่งเพิ่มสูงขึ้น เธอพยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “คุณอย่าทำอะไรบ้าๆ นะ ไม่งั้นฉันจะเรียก รปภ. มาเดี๋ยวนี้”
ฉู่จิงหงถอดหมวกออก เคราของชายหนุ่มทำให้เขาดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก ฉู่จิงหงเอนร่างสูงใหญ่เข้าหา พยายามไล่ต้อนสวีเจ้าอิ่งไปอยู่ตรงมุมกำแพง “ช่วงนี้ผมปัญหาเยอะ อาจจะทำตัวเหลาะแหละจนคุณเห็นแล้วหงุดหงิดบ่อยๆ แต่เรามาคุยกันดีๆ ดีกว่าน่า แค่สองวัน…แค่สองวันผมจะเอาหมามาคืนให้คุณแบบไม่บุบสลายเลย พูดกันจริงๆ คือผมยังไม่ได้เซ็นเอกสารสละสิทธิ์การเลี้ยงดูด้วยซ้ำ ถ้าต้องมีเรื่องมีราวกันขึ้นมา ยังไงซะโรงพยาบาลของพวกคุณก็เป็นฝ่ายเสียหายเพราะเอาหมาของลูกค้าไปหาผลประโยชน์ส่วนตัว เอาเป็นว่าถ้าผมพูดมากกว่านี้มันจะยิ่งไม่น่าฟัง ผมกลัวว่าคุณจะ…รับไม่ไหว”
ลมหายใจร้อนผ่าวของฉู่จิงหงเป่ารดใบหน้าของสวีเจ้าอิ่ง หญิงสาวกัดริมฝีปากพร้อมเบือนหน้าหนี เธอเชื่อว่าฉู่จิงหงสามารถทำได้ทุกอย่างจริงๆ
เห็นว่าหญิงสาวไม่พูดอะไรฉู่จิงหงจึงพูดต่อ “แต่ผมไม่อยากฉีกหน้าใคร เพราะมันจะทำให้เรื่องยืดเยื้อ ไม่คุ้ม”
สวีเจ้าอิ่งเงียบไปสักพักก่อนตอบ “ลองว่าแฟนคุณกลับมาได้ครั้งหนึ่งแล้ว เกิดในอนาคตเขากลับมาอีกล่ะ…คุณจะสร้างเรื่องให้คนอื่นอยู่ไม่สุขกันอีกหรือเปล่า”
“ไม่แล้ว จะไม่มีครั้งที่สอง คนเรามันหมดรักกันได้ ครั้งนี้ผมแค่เห็นแก่มิตรภาพในอดีต แต่ต่อไปผมจะไม่ยอมตามใจเขาแล้ว และจะไม่มารบกวนคุณด้วย”
สวีเจ้าอิ่งเงยหน้าขึ้นสบตากับฉู่จิงหง ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววหนักแน่น ดูเหมือนเขากำลังฝืนกัดฟันเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์อย่างเต็มที่
เธอผลักฉู่จิงหงออกห่างก่อนจะเปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง ตอนนี้หญิงสาวก้าวเข้ามายืนอยู่ในห้องของตัวเองกำลังมองผู้ชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้าที่ดูสติหลุดไปแล้วก็ทำได้เพียงถอนหายใจ “ตอนนี้เลิกงานแล้ว ฉันไม่อยากคุยเรื่องงาน เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน โอเคไหม”
จากนั้นสวีเจ้าอิ่งก็ปิดประตู ตรงเข้าไปอาบน้ำอุ่นและดื่มนมร้อนหนึ่งถ้วยพลางนึกถึงฉู่จิงหง หลังจัดการธุระส่วนตัวเสร็จสวีเจ้าอิ่งก็เดินไปที่ประตูแล้วมองลอดตาแมวออกไป ฉู่จิงหงจากไปแล้ว ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ทว่าสายตาเมื่อครู่ของฉู่จิงหงก็ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองของเธอไม่หยุด แม้คืนนี้สวีเจ้าอิ่งจะเข้านอนไวแต่เธอก็คิดมากจนนอนไม่หลับ หลังนอนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งหญิงสาวก็เปิดโทรศัพท์มือถือเพื่อโทรหาเฉิงจยาโหย่ว
เสียงรอสายเป็นเสียงแนะนำธนาคารฮุ่ยต๋าแบบสั้นๆ สวีเจ้าอิ่งฟังเสียงรอสายอยู่สามรอบกว่าจะมีคนรับ
“เจ้าอิ่งเหรอ?”
สวีเจ้าอิ่งเรียกสติกลับคืนมา “ค่ะ ฉันเอง”
“ขอโทษที เมื่อกี้ผมอาบน้ำเลยเพิ่งได้ยินเสียงโทรศัพท์”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันต่างหากที่รบกวนคุณ” สวีเจ้าอิ่งดูเวลาแล้วก็เกิดรู้สึกไม่ดีขึ้นมาเพราะนี่มันสี่ทุ่มกว่าแล้ว
“มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าครับ อยากให้ผมไปหาตอนนี้ไหม”
“ไม่ได้ด่วนอะไรหรอกค่ะ แต่มีปัญหาจริง…”
หลังสวีเจ้าอิ่งวางสายจากเฉิงจยาโหย่วแล้วเธอก็ไปเช็กกลอนประตูถึงสองรอบ เพราะกลัวว่าฉู่จิงหงที่เป็นผีเกาะหลังจะโผล่พรวดเข้ามาในห้อง