เฉิงจยาโหย่วขับรถตามไป เขาลดกระจกรถลงเพื่อพูดกับสวีเจ้าอิ่ง “ให้ผมไปส่งคุณดีกว่า”
“พวกคุณรีบไปเถอะ อีกไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว” สวีเจ้าอิ่งไม่อยากทำให้เฉิงจยาโหย่วต้องวุ่นวายจึงบอกปัดไป
ถึงเฉิงจยาโหย่วจะไม่ไว้ใจร้อยยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่ในเมื่อสวีเจ้าอิ่งพูดแบบนี้ เขาก็ย่อมต้องตามใจเธอ
สวีเจ้าอิ่งตัวเล็กแรงน้อย ยิ่งมาอยู่ข้างๆ ฉู่จิงหงยิ่งทำให้เธอเหมือนลูกนกที่ถูกจับขาไว้ หลังเดินออกจากร้านมาไกลมากแล้ว สวีเจ้าอิ่งถึงค่อยเดินได้มั่นคงขึ้น หญิงสาวสะบัดตัวออกจากพันธนาการของฉู่จิงหงอย่างรังเกียจ
“คุณนี่มันพิลึกจริง! ฉันกับคุณไม่ได้สนิทกัน แต่คุณกลับชอบทำตัวเป็นเพื่อนแสนดี ทำเอาฉันงงไปหมดแล้วนะ”
“ถึงคุณจะไม่เห็นผมเป็นเพื่อน แต่ผมเห็นว่าคุณเป็นเพื่อนเสมอนะ” ฉู่จิงหงยักไหล่
ผู้ชายมองโกเลียในเป็นแบบนี้กันหมดหรือไง สวีเจ้าอิ่งไม่เคยรู้จักกับหนุ่มมองโกเลียในคนอื่นๆ แต่แค่คนนี้คนเดียวก็ทำให้ภาพลักษณ์ของผู้ชายชาวมองโกเลียในใจเธอถูกตัดคะแนนไปเยอะแล้ว เพราะเขาทั้งเถื่อน ทั้งห่าม หลงตัวเอง หยิ่งยโส แถมมั่นใจในตัวเองแบบหน้ามืดตามัว แล้วยังมีน้ำจิตน้ำใจแบบเว่อร์วัง ชวนให้คิดว่าในสมองของเขามีเส้นอะไรหายไปสักเส้นหรือเปล่า
สวีเจ้าอิ่งสูดลมหายใจเข้าปอดหลายครั้ง พยายามสงบสติอารมณ์ลง ไม่รู้เพราะอะไรทั้งๆ ที่ฉู่จิงหงไม่ได้ยั่วโทสะอะไรเธอ แต่เธอก็กลับรู้สึกขัดหูขัดตาเขาไม่น้อย อาจเป็นเพราะอคติที่มีมาตั้งแต่ตอนแรกหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่พอเจอเข้าหลายครั้งมันก็เลยกลายเป็นความผิดติดตัวของชายหนุ่มไป จนตอนนี้ฉู่จิงหงก็ยังไม่สามารถแก้ไขภาพลักษณ์ของเขาได้อีก
บนถนนสายนี้มีคนและรถผ่านน้อย บนฟุตปาธจึงมีแต่เสียงฝีเท้าของพวกเขาสองคน ฉู่จิงหงกระแอมเบาๆ ก่อนจะใช้ศอกกระทุ้งแขนสวีเจ้าอิ่งแล้วยื่นหน้ามาพูดด้วยน้ำเสียงที่คล้ายไม่แน่ใจ “คือ…คุณช่วยคุยกับ บ.ก. เมิ่ง…ให้ผมหน่อยได้ไหม”
สวีเจ้าอิ่งปรายตามองฉู่จิงหง “ถ้าวิธีคุยใช้ได้ผล ทุกคนก็คุยได้หมดแล้วสิ”
“ทำอะไรไม่ได้เลย…จริงๆ เหรอ”
สวีเจ้าอิ่งมองเงาของตัวเองใต้ดวงไฟ พูดเสียงงึมงำ “ลูกผู้ชายทำอะไรต้องทำอย่างเปิดเผย ลองว่าเมิ่งเทียนเทียนพูดแบบนี้คุณก็น่าจะเข้าใจดีว่าภาพลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญมาก”
ฉู่จิงหงเกาศีรษะ ท่าทีดูหนักใจพร้อมบ่นงึมงำกับตัวเอง “อืม ช่างเถอะๆ”
ดูท่าฉู่จิงหงจะยังอาลัยอาวรณ์ แต่ก็ดูไม่ได้เสียอกเสียใจอะไรมาก บนท้องถนนที่มีผู้คนบางตา อากาศหนาวจัด สวีเจ้าอิ่งพูดขึ้นเบาๆ “ของบางอย่างถ้ามันเป็นของคุณ มันก็เป็นของคุณ แต่ถ้าหากไม่ใช่ ต่อให้คุณใช้กำลังไปแย่งเอามาก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
“เรื่องนี้ผมรู้…เพียงแต่คิดว่าถ้าได้ขึ้นปกก็จะได้ส่งนิตยสารกลับไปให้แม่ที่บ้านดู แม่จะได้เลิกว่าผมทำอะไรไม่บอกอยู่ข้างนอกสักที”
สวีเจ้าอิ่งไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืด หญิงสาวแอบพิจารณาฉู่จิงหงอยู่เงียบๆ เวลาเขาพูดแบบนี้เธอมักจะรู้สึกปวดแปลบใจนิดๆ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เธอคุ้นเคยดี เพราะมันคือความรู้สึกที่เธออุตส่าห์ใกล้จะลืมมันได้แล้ว และไม่อยากให้ใครมาพูดถึงมันอีก
โชคดีที่ระยะทางไม่ไกลมาก พวกเขาใช้เวลาเดินแค่สิบกว่านาทีก็ถึงหน้าประตูคอนโดฯ แล้ว ทั้งคู่เดินไปขึ้นลิฟต์ในลักษณะคนหนึ่งเดินนำหน้า อีกคนเดินตามหลัง และเหมือนอย่างที่เคยคือสวีเจ้าอิ่งถึงก่อน แต่ครั้งนี้พอหญิงสาวเดินออกจากลิฟต์ ฉู่จิงหงกลับเดินตามออกมาด้วย
สวีเจ้าอิ่งเอ่ยถามเขาอย่างระแวดระวัง “ยังมีเรื่องอะไรอีกล่ะ”
ฉู่จิงหงหัวเราะ “ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรหรอก ผมแค่อยากถามคุณว่าคุณซื้อซอสขวดที่ให้ผมครั้งก่อนมาจากที่ไหนเหรอ ผมเห็นว่ามันใกล้จะหมดแล้วน่ะ”
สวีเจ้าอิ่งถามด้วยน้ำเสียงตกอกตกใจ “เพิ่งจะกี่วันเอง?! คุณกินเก่งขนาดนี้เชียว?”