“เปล่าสักหน่อย คือวันนั้นพอผมกลับถึงบ้านก็ลองเอาไปใส่บะหมี่เนื้อแกะนิดนึง คิดไม่ถึงว่าซอสนี่จะช่วยเพิ่มรสชาติให้ได้เยอะเลย! พอผมเอาไปเทสต์กับบะหมี่เนื้อแกะก็มีลูกค้ากลับมาสั่งซ้ำแบบคาดไม่ถึงอีก แต่ผมมีซอสอยู่แค่ขวดเดียวก็เลยต้องจำกัดจำนวนไว้ที่วันละห้าชาม คุณพอจะบอกผมได้หรือเปล่าว่าซื้อซอสนี่มาจากที่ไหน หรือคุณมีอีกไหม ผมขอ…ซื้อต่อสักหลายๆ ขวดเอามาไว้แก้ขัดก่อนได้ไหม”
ฉู่จิงหงยิ้มประจบ แต่สวีเจ้าอิ่งกลับโบกมือไปมาอย่างอับจนหนทาง “ขอโทษที มีน่ะมี แต่มีแค่ขวดเดียว ฉันยังต้องกินอีก คุณหาซื้อไม่ได้หรอก เพราะพ่อฉันเป็นคนทำ”
พูดจบสวีเจ้าอิ่งก็ปิดประตูพาตัวเองหายเข้าไปในห้อง หญิงสาวเกาะประตูดูตาแมวอยู่นาน เห็นฉู่จิงหงเดินจากไปด้วยสีหน้าผิดหวัง จนเขาเดินเข้าไปในลิฟต์แล้วเธอถึงค่อยไปอาบน้ำขึ้นเตียงได้อย่างสบายใจ
หญิงสาวเพิ่งจะนอนบนเตียงได้สิบนาทีก็ได้รับสายจากเฉิงจยาโหย่ว
“ถึงบ้านโดยปลอดภัยไหมครับ”
“ค่ะ”
เหมือนเสียงตอบอย่างหนักแน่นของเธอจะทำให้เฉิงจยาโหย่วโล่งอก
“ผู้ชายคนนั้นห้าใหญ่สามหนา ขาดการอบรม ผมล่ะกลัวว่าเขาจะทำร้ายคุณเลยคอยตามอยู่ห่างๆ ไม่กล้าไปไหนไกล”
หัวใจของสวีเจ้าอิ่งเต้นตึกๆ เพราะคิดไม่ถึงว่าเฉิงจยาโหย่วจะทำแบบนี้ ในใจทั้งรู้สึกอบอุ่น ทั้งรู้สึกเขินอาย “ไม่เป็นไรค่ะ เขากินฉันไม่ได้หรอก คุณคงไม่ได้ปล่อยเมิ่งเทียนเทียนกลับไปก่อนหรอกนะคะ”
“ผมให้เขาขับรถผมกลับไปก่อน”
หัวใจของสวีเจ้าอิ่งเต้นตึกๆ อีกครั้ง หญิงสาวถามขึ้น “แล้วคุณล่ะคะ”
“ผมเรียกแท็กซี่แถวคอนโดฯ คุณน่ะ คอยอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าจะได้”
เฉิงจยาโหย่วไม่ได้โกหก เพราะในสายสวีเจ้าอิ่งยังได้ยินเสียงเขาบอกทางให้คนขับรถ
“จยาโหย่ว ต่อไปคุณอย่าทำแบบนี้อีกนะ ฉันโตแล้ว รู้ว่าต้องดูแลตัวเองยังไง อีกอย่าง…ฉันกลัวตัวเองจะเป็นภาระของคนอื่นที่สุด”
เฉิงจยาโหย่วที่อยู่ในสายหัวเราะออกมาอย่างอ่อนโยน “ในสายตาผมคุณไม่ใช่ ผอ. สวี แต่เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง คุณไม่ใช่ภาระครับ…แต่เป็นคนที่ผมยินดีดูแล”
สวีเจ้าอิ่งลูบแก้มตัวเองพบว่ามันค่อนข้างร้อนผะผ่าว เธอกล่าวต่ออีกว่า “แต่คราวหน้าไม่ต้องทำแบบนี้อีกจริงๆ”
“ผมรับประกันว่าจะไม่มีครั้งหน้าครับ เพราะครั้งหน้าไม่ว่าคุณจะยอมหรือไม่ยอม ผมก็จะไปส่งคุณด้วยตัวเอง”
สวีเจ้าอิ่งหัวเราะคิกคักเหมือนคนโง่ แม้เฉิงจยาโหย่วจะเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีและคบง่ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่หลังจากที่เธอกับเฉิงจยาโหย่วตรงไปตรงมาต่อกัน ก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไป คล้ายว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันมากมายอีก
“เจ้าอิ่ง…ผมมีเรื่องอยากถามคุณ…แต่กลัวว่าคุณจะไม่โอเค”
น้อยครั้งมากที่เฉิงจยาโหย่วจะพูดจาตะกุกตะกักแบบนี้ สวีเจ้าอิ่งจึงตอบกลับไป “ถามมาได้เลยค่ะ”
“อันที่จริงวันนี้ผมค่อนข้างจิตตก เพราะผมไม่รู้ว่าคุณมีของที่ไม่ชอบกิน ในขณะที่ฉู่จิงหงรู้มากกว่าผม”
“จยาโหย่ว พวกเรายังรู้จักกันไม่เยอะนัก การจะเข้าใจซึ่งกันและกันมันต้องใช้เวลา คุณไม่เห็นต้องจิตตกอะไรเลยนี่คะ”