ฉู่จิงหงเฝ้าตื๊อจนถึงหน้าประตูโรงพยาบาลสัตว์ นางพยาบาลกับหน่วยรักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลเห็น ผอ. สวีของพวกเขายื้อยุดอยู่กับชายร่างสูงใหญ่เหมือนม้าคนหนึ่งแล้วก็งง ยืนจับกลุ่มเม้าท์กันอยู่ที่ข้างประตูว่าตกลงฉู่จิงหงกำลังมีปัญหา หรือเขากำลังตามจีบ ผอ. สวีกันแน่
สวีเจ้าอิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูโรงพยาบาลเห็นการชี้ชวนให้มองดูเธอกับชายหนุ่มของคนอื่นๆ ก็โกรธจนต้องกัดฟัน
“ฉู่จิงหง! ฉันจะบอกคุณให้นะว่าชาตินี้คุณอย่าหวังว่าจะได้เจอพ่อฉันเลย”
ฉู่จิงหงชะงักก่อนจะเอ่ยถาม “ทำไมล่ะ”
“เพราะฉันตัดขาดกับเขาไปแล้ว!”
ทันทีที่ฉู่จิงหงคลายมือออก สวีเจ้าอิ่งก็สลัดตัวจนหลุดออกจากอุ้งมือของเขาทันที ฉู่จิงหงมองสวีเจ้าอิ่งที่วิ่งเหยาะๆ เข้าประตูใหญ่ของโรงพยาบาลไป ลูบตอหนวดบางๆ ที่ปลายคางของตนแล้วพูดลอยๆ “คงไม่น่าเศร้าขนาดนั้นหรอกมั้ง…”
ถ้าสวีเจ้าอิ่งไม่เห็นดอกไม้ที่เฉิงจยาโหย่วส่งมาให้แต่เช้า อารมณ์ในเช้าวันนี้ของเธอต้องแย่มากแน่ๆ คำพูดคลุมเครือของเฉิงจยาโหย่วเมื่อวานทำให้วันนี้สวีเจ้าอิ่งต้องขบคิดอย่างจริงจังว่าบางทีเธอน่าจะย้ายที่อยู่ได้แล้ว เพราะถ้าย้ายไปแล้วหูก็จะได้โล่งขึ้น และการได้อยู่ห่างจากคนช่างตื๊อคนนี้ก็จะทำให้ชีวิตของเธอกลับมาเป็นสุขได้อีก
ยังดีที่งานยุ่งๆ ทำให้สมองของเธอไม่ว่าง และความยุ่งก็ยังทำให้เธอลืมความไม่พอใจทั้งหมดไปได้ด้วย เวลาผ่านไปแบบอึมครึมเป็นระยะเวลาหลายวัน ฉู่จิงหงไม่ได้มาหาเธออีก คิดว่าคงเป็นเพราะเธอปฏิเสธเขาไปแบบสิ้นเยื่อขาดใย ทำให้เขาไม่กล้ามาวอแวด้วยอีก
สวีเจ้าอิ่งได้ใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบเป็นเวลาหลายวัน เผลอแป๊บเดียวก็เย็นแล้ว วันนี้เธอเห็นเฉิงจยาโหย่วโผล่มาพร้อมกับพีพี
“ผู้จัดการเฉิงงานยุ่งตลอด ทำไมวันนี้ถึงมีเวลามาได้ล่ะคะ”
เฉิงจยาโหย่วเผยท่าทางอ่อนล้าออกมา “ยุ่งมากจริงๆ ครับ ช่วงนี้ทางธนาคารมอบหมายงานสำคัญมาให้ก็เลยยุ่งจนเท้าแทบไม่แตะพื้น แต่ดูเหมือนพีพีจะป่วยครับ ผมสังเกตดูหลายวันแล้วเห็นท่าไม่ค่อยดีก็เลยถือโอกาสที่วันนี้ไม่ต้องทำโอทีรีบพามันมาให้คุณดู”
สวีเจ้าอิ่งสังเกตเห็นพีพีที่มีท่าทีซึมๆ มาตั้งแต่เฉิงจยาโหย่วเข้าประตูมา หญิงสาวจึงรีบเข้าไปตรวจเช็ก แต่ก็พบว่าพีพีไม่ได้เจ็บป่วยอะไร
“ตามปกติ เวลาอยู่บ้านมันก็เป็นแบบนี้เหรอคะ”
น้ำเสียงของเฉิงจยาโหย่วบอกถึงความละอายใจ “อันที่จริง…ผมผิดเองที่ไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนพีพีเท่าไหร่ ช่วงยุ่งๆ ก็ไม่ได้กลับบ้านตอนกลางวัน และพอเลิกงานกลับไปก็ต้องรีบพามันลงจากคอนโดฯ ไปทำธุระ เล่นกันสักสิบกว่านาทีก็ต้องกลับขึ้นตึก ค่ำผมต้องเขียนรายงาน กว่าจะเสร็จพีพีก็หลับไปแล้ว”
ฟังจากที่เฉิงจยาโหย่วเล่าแล้ว สวีเจ้าอิ่งก็พอจะทำความเข้าใจได้คร่าวๆ ว่าพีพีคงเป็นโรคเบื่อบ้าน สุนัขมีนิสัยร่าเริงเหมือนเด็กอายุหกเจ็ดขวบ การให้เด็กหกขวบอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน ไม่ว่าใครก็ต้องซึมทั้งนั้น
“ฝากพีพีไว้ที่ฉันสักสองสามวันก่อนก็ได้ค่ะ รอให้คุณทำงานเสร็จแล้ว มีเวลาค่อยมาเล่นกับมันและรับมันกลับไป เวลาของฉันมีความยืดหยุ่น ดูแลมันได้ดีกว่า”
เฉิงจยาโหย่วเม้มริมฝีปาก ยิ้มเขินๆ “พีพีต้องแวะเวียนมาที่นี่บ่อยๆ มันคงรู้สึกไม่ดีเอามากๆ แน่ๆ ใช่ไหมครับ”
“สัตว์ที่ถูกทอดทิ้งจะมีแผลในใจค่ะ พวกมันมีความรู้สึก ไม่ได้โง่เขลาไร้หัวใจ ให้มันไว้ใจคุณและยอมรับว่าคุณเป็นคนในครอบครัวของมันแล้ว ก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็วค่ะ”
สวีเจ้าอิ่งเพิ่งจะพูดจบ พนักงานรักษาความปลอดภัยก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามารายงานด้วยสีหน้าร้อนใจ “ผอ. ครับ คนนั้นมาอีกแล้วครับ!”
สีหน้าของ รปภ. ทำให้สวีเจ้าอิ่งมึนงงไปเล็กน้อย เธอมองไปทางประตู ที่แท้ก็เป็นคนที่เธอไม่อยากเจอนั่นเอง