สวีเจ้าอิ่งมองแค่แวบเดียวก็ไม่ยอมมองอีก เพราะเรื่องที่อีกฝ่ายผื่นขึ้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ หญิงสาวปัดมือของฉู่จิงหง พูดด้วยน้ำเสียงไม่เกรงใจ “จยาโหย่วพูดถูก คุณมาหาเรื่องจริงๆ โรงพยาบาลของฉันให้ความสำคัญกับสัตว์เป็นอันดับหนึ่ง ความต้องการของคนเป็นเรื่องรอง หากคุณรับไม่ได้ก็อย่าวิ่งมาที่นี่อีก”
“ก็แบบนี้มันถึงจะแสดงให้เห็นความจริงใจที่ผมมีได้นี่”
กับคนไม่มีฟอร์มอย่างฉู่จิงหงแล้ว สวีเจ้าอิ่งไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำยังไงกับเขาดี “ฉันรู้ว่าคุณคิดอะไร แต่ฉันบอกชัดเจนแล้วนะว่าคุณไม่มีทางได้สูตรซอสหรอก และฉันคงช่วยอะไรไม่ได้ด้วย หรือต่อให้ฉันช่วยได้ ฉันก็ไม่มีเหตุผลที่จะช่วยคุณ ฉันยังมีผ่าตัดอีกสามเคส เชิญคุณตามสบาย”
หลังสวีเจ้าอิ่งหายตัวเข้าไปหลังประตูห้องปฏิบัติการ ฉู่จิงหงเท้าคางยืนอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ ตามองจ้องประตูนิ่งๆ อยู่นานก่อนจะถามเจ้าหน้าที่พยาบาลตรงเคาน์เตอร์เสียงงึมงำ “ผอ. ของพวกคุณนี่เย็นชา ไร้หัวใจจริงๆ ไม่มีวิธีละลายภูเขาน้ำแข็งอย่างเธอเลยเหรอ”
ฉู่จิงหงถามท่าทางจริงจัง แต่พยาบาลกลับรีบหนีไปไกลเพราะไม่อยากตอบคำถามกับคนที่เคยสร้างวีรกรรมในโรงพยาบาลของพวกเขา ดังนั้นมีปฏิสัมพันธ์กันให้น้อยหน่อยจะดีกว่า
กว่าสวีเจ้าอิ่งจะผ่าตัดเสร็จ ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดแล้ว และเนื่องจากใกล้ปีใหม่แล้ว เธอจึงให้เพื่อนร่วมงานที่บ้านอยู่ไกลสามารถลางานได้ ทำให้ตอนนี้มีผู้ช่วยไม่พอ งานผ่าตัดบางเคสเธอจึงต้องลงมือเอง แม้จะเป็นการผ่าตัดเล็กๆ แต่พอต้องทำเองหลายๆ เคส เธอก็เริ่มรู้สึกหมดแรง
สวีเจ้าอิ่งจูงพีพีเดินออกจากโรงพยาบาล เพราะใกล้เข้าฤดูใบไม้ผลิ อากาศจึงเริ่มอบอุ่นขึ้น ถึงจะยังมีลมพัดหวีดหวิว แต่ก็ไม่ได้หนาวเสียดกระดูกเหมือนเมื่อก่อน พีพีส่งเสียงงี้ดง้าด ท่าทางหงอยเหงาซึมเซา สวีเจ้าอิ่งถอนหายใจแล้วอุ้มมันขึ้นมา พีพีซุกหน้าเข้าหาวงแขนเธอด้วยท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจ ดูเหมือนกำลังจิตตก
ถึงเซี่ยงไฮ้จะดีแค่ไหน แต่มันมักจะให้ความรู้สึกเหน็บหนาว สวีเจ้าอิ่งคิดว่าความหนาวนี้น่าจะมาจากส่วนลึกของจิตใจเธอด้วย พูดตามตรงคือสวีเจ้าอิ่งเป็นคนขี้เหงา แต่เธอก็ไม่ค่อยชอบเข้าร่วมงานสังสรรค์ มักจะอยู่ที่บ้านคนเดียวทั้งวันเพื่อนอนหลับ อ่านหนังสือ จมอยู่ในโลกของตัวเอง นานวันเข้าต่อให้เป็นเมิ่งเทียนเทียนที่เธอสนิทด้วยมากที่สุด ระหว่างเธอกับเพื่อนก็ยังมีระยะห่างกันอยู่ไม่น้อย
เดินไปได้ราวสิบกว่านาที พีพีที่เดิมอยู่นิ่งๆ ก็กลับผงกหัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน มันส่งเสียงร้องงี้ดง้าด ขาทั้งสี่ข้างตะกายตัวก่อนจะพุ่งออกไป สวีเจ้าอิ่งไม่ทันเตรียมใจไว้จึงทำให้พีพีหลุดจากอ้อมแขนร่วงลงไปที่พื้น มันตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นวิ่งตรงไปที่ป้ายรถเมล์
สวีเจ้าอิ่งไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วรีบตามมันไป เธอไล่ตามจนมาถึงป้ายรถเมล์ พอระยะห่างกับป้ายรถเมล์เหลือเพียงห้าเมตรสวีเจ้าอิ่งก็ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง จริงด้วย…พีพีจะมีปฏิกิริยาแบบนี้เฉพาะเวลาที่เห็นเขา มันเป็นภาพที่น่าขำเหมือนกับที่ผ่านๆ มา พีพีวางขาหน้าลงบนรองเท้าของฉู่จิงหง แลบลิ้นพลางกระดิกหาง ในขณะที่ฉู่จิงหงเขย่งตัวหนี กอดป้ายรถประจำทางแน่น กลั้นหายใจจนหน้าแดงก่ำ
“ครั้งนี้ไม่ร้องช่วยด้วย นับว่ามีพัฒนาการขึ้นนะ” สวีเจ้าอิ่งมองอย่างอารมณ์ดี แต่ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือใดๆ
“เพื่อทำให้คุณอารมณ์ดี ผมจำเป็นต้องกล้าหาญเพราะต้องการสิ่งตอบแทนน่ะ” ฉู่จิงหงพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่มองพีพี พยายามส่งยิ้มดูเหมือนมีอารมณ์ขันแบบสบายๆ ให้กับหญิงสาว แต่รอยยิ้มฝืนๆ นั้นกลับดูค่อนข้างปั้นยาก
สวีเจ้าอิ่งอุ้มพีพีขึ้นมาอีกครั้ง เธอดีดศีรษะของพีพีพลางกล่าว “สมองแกพังไปแล้วเหรอไง ใครไม่เห็นแกอยู่ในสายตา ใครรักแกจริงก็แยกแยะไม่ได้ อายุขัยของหมาสั้น ยิ่งต้องรู้จักใช้ชีวิตให้ดีสิ!”
ฉู่จิงหงไม่พูดอะไร เขาทำเพียงเดินตามหลังสวีเจ้าอิ่งโดยทิ้งระยะห่างประมาณสองถึงสามเมตร
“ตอนเด็กๆ คุณต้องเป็นพวกจะเอาอะไรแล้วต้องเอาให้ได้แน่ๆ”