บทที่ 1 ลมตะวันตกพัดมา
สุริยันจมลับประจิม แสงสายัณห์สาดส่องขอบฟ้า
เสิ่นเฉียนเปลี่ยนม้าไปตัวหนึ่งแล้วในจุดพักม้า เช่นนี้จึงเร่งมาถึงนอกเมืองหลวงได้ก่อนยามซวี
ผ่านไปอีกสองเค่อ ประตูเมืองก็จะปิดลง นางผ่อนลมหายใจออกคราหนึ่งแล้วพลิกตัวลงจากม้า
ฝนตกเมฆครึ้มติดต่อกันหลายวัน แม้เวลากลางวันฝนหยุดเมฆสลาย แต่ดวงอาทิตย์ซึ่งเผยตัวตลอดทั้งบ่ายกลับไม่ทำให้ถนนที่เฉอะแฉะไปด้วยโคลนเลนระเหยแห้ง ดังนั้นเสิ่นเฉียนที่ลงแส้เร่งม้ามาตลอดทางจึงมีสภาพย่ำแย่พอดู บนเสื้อเกราะเปื้อนโคลนเป็นจุดๆ กระทั่งบนแก้มยังมีน้ำโคลนกระเซ็นใส่เล็กน้อย
นายทหารเฝ้าประตูพินิจนางปราดหนึ่ง แล้วคารวะให้อย่างนอบน้อม “แม่ทัพเสิ่น เชิญ”
เสิ่นเฉียนยิ้มบางๆ พลางพยักหน้า มือหนึ่งถือดาบจันทร์เสี้ยวยาว อีกมือดึงบังเหียน จูงม้าเดินเข้าไปในประตูเมืองตระหง่านสูงใหญ่
ครั้นผ่านประตูเมืองไปก็มองเห็นตลาดคึกคักจอแจ ยามนี้เป็นช่วงพลบค่ำพอดี บนถนนมีผู้คนสัญจรขวักไขว่ หอสุราร้านอาหารที่สองฝั่งของถนนหลักกำลังเป็นช่วงรับแขก ส่วนร้านค้าของชำบางส่วนข้างๆ กลับยุ่งอยู่กับการปิดร้าน บรรยากาศคึกคักรุ่งเรือง
เสิ่นเฉียนไม่ได้มองดูสักเท่าไร ขณะกำลังเตรียมจะขึ้นขี่ม้าอีกครั้ง หัวโค้งของถนนด้านหน้าพลันมีรถม้าหกล้อครอบประทุนคันหนึ่งแล่นออกมา คนผู้หนึ่งขี่ม้ามาเคียงกัน มุ่งหน้ามาทางประตูเมืองอย่างรวดเร็ว
ม้าเป็นม้าเทาอานเงิน คนบนหลังม้ารูปร่างสูงสง่า สวมชุดผ้าต่วนสีครามตัวยาว มัดผมสวมเกี้ยวหยก ทั้งที่แต่งกายเหมือนบัณฑิตธรรมดา แต่รอบกายกลับแฝงกลิ่นอายเข่นฆ่าเย็นเยียบอย่างหนึ่ง ดึงดูดสายตายิ่งนัก
เสิ่นเฉียนมองเห็นแต่ไกลจึงเปลี่ยนใจ เพียงจูงม้าหลบอยู่ในมุมหนึ่งตรงข้างถนน หยิบผ้าบนคอมาปิดครึ่งใบหน้าและก้มหน้าต่ำยิ่ง
รถม้าวิ่งผ่านหน้านางไปอย่างรวดเร็ว ทว่าม้าเทากลับแหงนหน้าร้องเสียงยาวคราหนึ่ง เท้าหน้าทะยานอากาศไม่กี่คราก่อนหยุดลง
ชายหนุ่มบนหลังม้ารั้งสายบังเหียน ก้มตัวลงน้อยๆ ประสานหมัดคารวะมาทางนางที่อยู่ในเงามืด “แม่ทัพเสิ่น”
นี่ยังมองออกด้วยหรือ เสิ่นเฉียนได้แต่ดึงผ้าลง ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วเงยหน้าคารวะตอบ “แม่ทัพเซี่ย”
มองจากสายตาของนาง ใบหน้าของชายหนุ่มกระจ่างใสงามสง่า คิ้วยาวเลิกขึ้นน้อยๆ สีหน้าเฉยชา ใต้ขนตาดำคือดวงตาวาววามคู่หนึ่ง ภายใต้อาทิตย์อัสดงในเมืองที่ผู้คนพลุกพล่าน ชายหนุ่มชุดครามคล้ายแสงจันทร์กระจ่างยามฤดูสารท ไม่แปดเปื้อนโลกีย์อย่างไรอย่างนั้น
“ไม่กี่วันก่อนได้ยินว่าฝ่าบาทเรียกตัวแม่ทัพเสิ่นกลับเมืองหลวงโดยด่วน คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้พบหน้าแล้ว แม่ทัพเสิ่นมาเร็วยิ่งนัก” ชายหนุ่มยืดตัวตรง นิ้วยาวที่ข้อนิ้วชัดพันแส้ม้าเล่น นัยน์ตาประหนึ่งน้ำแข็งเย็นเฉียบทั้งคู่กวาดผ่านรอยโคลนสองจุดบนแก้มนาง หยุดนิ่งครู่หนึ่งก่อนละจากไป
เสิ่นเฉียนสังเกตได้ถึงสายตาเขาจึงยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดใบหน้าเบาๆ นางรีบเข้าวัง เวลานี้ไม่คิดพูดมากความกับเขาอีก เพียงยิ้มกล่าวว่า “แม่ทัพเซี่ยจะออกจากเมืองหรือ ช้ากว่านี้ประตูเมืองก็จะปิดแล้วนะ”
เซี่ยจิ่นพยักหน้าน้อยๆ ขณะคิดจะขี่ม้าจากไปรถม้าเบื้องหน้ากลับหยุดลง ในรถม้ามีเสียงทรงพลังสายหนึ่งดังขึ้น “เป็นแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วหรือ”
เสิ่นเฉียนได้แต่ทิ้งบังเหียนม้าแล้วเดินไปเบื้องหน้าเล็กน้อย คารวะผ่านม่านหน้าต่างรถม้า ยิ้มเอ่ยว่า “เสิ่นเฉียนคารวะท่านโหวเซี่ย”
ม่านหน้าต่างเลิกขึ้น เวยหย่วนโหวเซี่ยจี่ที่ผมเคราขาวโพลนแต่ยังกระฉับกระเฉงโผล่หน้าออกมาแล้วหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เป็นเจ้าดังคาด ข้ายังต้องเร่งออกจากเมือง คุยกับเจ้าได้ไม่มากนัก วันพรุ่งนี้ที่สนามฝึกตะวันตกจะคัดเลือกนายทัพของเขตเหนือ ถ้าเจ้ามีเวลาต้องมาชี้แนะเจ้าพวกนั้นให้ได้นะ”
เสิ่นเฉียนค้อมกายรับปากอย่างรวดเร็ว “แน่นอน”
“ดีๆๆ!” เซี่ยจี่หัวเราะเบิกบาน เหลือบตามองบุตรชายเซี่ยจิ่นที่สีหน้าไร้อารมณ์บนหลังม้าแล้วเอ่ยด่าว่า “ยิ่งไร้ระเบียบขึ้นทุกทีแล้ว พบแม่ทัพเสิ่นทั้งทีเหตุใดจึงไม่ลงจากม้า!”
เซี่ยจิ่นประจำการในเขตเหนือนานปี สามปีก่อนหน้าได้บัญชาการทัพเขตเหนือแปดหมื่นแทนบิดาแล้ว แต่จนถึงเมื่อหนึ่งปีก่อนเพิ่งได้แต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่ไหวฮว่าขั้นสาม เทียบกับเสิ่นเฉียนแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วลำดับรองขั้นสองที่บัญชาการทัพเขตตะวันตกสิบหมื่นแล้วยังต่ำกว่าครึ่งขั้น
เซี่ยจิ่นคิ้วขมวดเล็กน้อย ขณะจะลงจากม้าเสิ่นเฉียนก็เอ่ยห้ามว่า “ท่านโหวล้อเล่นแล้ว พวกเราไหนเลยต้องใส่ใจพิธีรีตองพวกนี้ด้วย ฟ้ามืดขึ้นทุกที ถ้าท่านผู้เฒ่ายังไม่รีบออกจากเมืองอีก เห็นทีจะไม่ทันเอาได้”
“ก็จริง” เซี่ยจี่ลูบเคราใต้คาง ในดวงตาวาบประกาย “แม่ทัพเสิ่นก็รีบเข้าวังไปพบฝ่าบาทเถอะ พวกเราไม่รั้งเจ้าแล้ว อวิ๋นอิ่น ยังไม่รีบไปอีกหรือ”
เซี่ยจิ่นได้ยินก็ประสานมือให้เสิ่นเฉียนเล็กน้อยก่อนลงแส้ขี่ม้าจากไป
เสิ่นเฉียนมองส่งพ่อลูกสกุลเซี่ยจากไปสักพักหนึ่ง ถึงค่อยกระโดดขึ้นหลังม้า ควบทะยานไปยังวังหลวง เร่งเข้าประตูซีหวาก่อนประตูวังจะปิดลง