คนอะไรสวยได้ทั้งเนื้อทั้งตัวแบบนี้ นี่ขนาดคิ้วขวายังมีรอยแผล ใบหน้ายังขาวซีด แต่เครื่องหน้าได้รูปนั้นยังโดดเด่น รูปร่างเล่า…ทั้งทรวดทรงองค์เอว ทั้งผิวเนื้อขาวผ่องนวลสล้าง ล้วนหาที่ติมิได้
จ้องมองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะรู้สึกตัว อรกานต์หัวเราะเบาๆ แล้วก็หน้าแดง อายตัวเอง รู้สึกเหมือนดูหนังโป๊ชนิดเพียวๆ ไม่ถูกเซ็นเซอร์ออกเลยสักวินาที
นึกไปอีกทีก็เขิน ไทร่าจะยืนมองของเราแบบนี้รึเปล่าหว่า
อาบน้ำจนสดชื่นสบายตัวแล้ว อรกานต์ก็ออกมาเดินชมห้องนอน สำรวจโต๊ะเครื่องแป้ง โต๊ะหนังสือ ชั้นเก็บของ เปิดลิ้นชักโน้นลิ้นชักนี้ ดูโน่นดูนี่จนพอใจแล้วก็ทิ้งตัวลงบนเตียง เปิดโทรทัศน์ดูฆ่าเวลาไปพลางๆ
ห้องนอนห้องนี้บอกตัวตนของไทร่าได้ดี โต๊ะเครื่องแป้งมีสารพันเครื่องสำอางและน้ำหอมวางอยู่เต็ม ข้างๆ กันมีตั่งเก็บบรรดาสารพันเครื่องประดับทั้งหลาย ทั้งแหวน ตุ้มหู สร้อยคอ สร้อยข้อมือ ล้วนมีมากจนละลานตา โต๊ะหนังสือมีแต่หนังสือเรียนและข้างๆ ก็มีอุปกรณ์วาดภาพวางอยู่ครบชุด เรียกได้ว่ามีครบตามภาคบังคับสำหรับแบบเรียนและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็น อุปกรณ์เสริมหรือหนังสือคู่มือสำหรับหาข้อมูลเพิ่มเติมไม่มีเด็ดขาด ชั้นหนังสือเล็กๆ ก็มีแต่นิตยสารแฟชั่นกับแค็ตตาล็อกต่างๆ จากห้างสรรพสินค้าชั้นนำ บอกได้ชัดเจนว่านี่คือเจ้าแม่แฟชั่น ไม่ใช่อาร์ติสต์ จิตรกรเอกอย่างหล่อน
อรกานต์เหลียวมองรอบห้อง เออ…แฮะ ห้องนี้ก็สวย…น่าวาดดีเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันคิดอะไรไกลกว่านั้นก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาบอกเวลาหกโมงเย็น
ถ้าแม่ไม่มีสอนตอนบ่าย ป่านนี้คงกลับถึงบ้านแล้ว
“ฮัลโหล” เสียงผู้ชาย…เสียงพ่อ…อรกานต์คิดอย่างแปลกใจนิดหน่อย วันนี้พ่อกลับบ้านเร็วจัง
“ฮัลโหล” หล่อนรีบกรอกเสียงตอบ “ขอสายอ้อค่ะ”
แอบภาวนาในใจขอให้ไทร่าอยู่แถวนั้นจะได้นัดพบพูดคุยช่วยกันหาทางแก้ไขปัญหา ฉันจะได้กลับเข้าร่างฉัน เธอจะได้กลับเข้าร่างเธอตามเดิมเสียที
ทว่า…ปลายสายกลับนิ่งงันไป เหมือนมีเสียงขลุกขลักในลำคอ
“อ้อไม่อยู่ลูก”
อรกานต์ไม่ได้เฉลียวใจอะไรกับน้ำเสียงเนิบๆ เนือยๆ นั้น หล่อนพูดต่อทันที “ไม่อยู่เหรอคะ อีกนานมั้ยคะกว่าจะกลับ”
“ไม่กลับแล้วลูก” อีกฝ่ายตอบเสียงเบา กลั้นสะอื้น
“ไม่กลับเหรอคะ” ไม่รู้เป็นไง หล่อนรู้สึกทั้งแปลกใจ ทั้งตกใจ เสียววาบๆ ที่ท้ายทอยอย่างไรพิกล
“เพิ่งเผาเมื่อบ่ายนี้ พ่อคิดว่าโทรบอกทุกบ้านแล้วเสียอีก”
“คะ? คือ…” อรกานต์รู้สึกเหมือนมีก้อนลมก้อนใหญ่แล่นมาจุกอยู่ที่ลำคอ สมองหมุนติ้วเคว้งคว้าง คิดอะไรไม่ออก พูดอะไรไม่ถูก
หล่อนพยายามรวบรวมพลังกายพลังใจทั้งหมด ตั้งสติให้มั่น ก่อนจะกล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมมิให้สั่น “หมาย…ความ…ว่า อ้อ…อ้อไปไม่กลับแล้วหรือคะ สะ…เสียแล้วหรือคะ”
“จ้ะ”
“เมื่อไหร่ ยังไงคะ”
“ถูกรถชนเมื่อสี่วันก่อน หนูไม่ทราบจริงๆ หรือลูก”
อรกานต์พยายามอย่างยิ่งที่จะดำรงสติให้มั่น ทั้งๆ ที่มือเท้าเย็นชืด “หนูเป็นเพื่อนเก่าสมัยประถมค่ะ ไม่ได้ติดต่อกันหลายปี วันนี้คิดถึงอ้อขึ้นมาเลยจะโทรมาคุยด้วย ไม่คิดเลยว่า…เสียใจด้วยนะคะคุณลุง”
“ขอบใจ สงสัยอ้อคงคิดถึงหนูเหมือนกันถึงได้ส่งจิตไป ถ้าหนูอยากพบอ้อ กระดูกยังอยู่ที่วัดประชาธรรม พ่อฝากไว้กับพระครูแจ้ง หนูไปไหว้อัฐิได้ คงอีกสักพักใหญ่กว่าจะลอยอังคาร พ่อกับแม่ขอเวลาทำใจอีกหน่อย”
“ค่ะ แล้วหนูจะไป สวัสดีค่ะคุณพ่อ”
“สวัสดีจ้ะ”