“นับแต่โบราณมา บุญคุณที่ช่วยชีวิตมิใช่ต้องตอบแทนด้วยร่างกายหรือ ข้ายังอยากถามอยู่ว่านางปักใจกับเจ้าถึงเพียงนี้ ไฉนจึงไม่แต่งให้เจ้าเสียเลย สุดท้ายยังปล่อยให้คนแซ่ซูได้ประโยชน์ไป ที่แท้เป็นเพราะนางรู้แต่แรกแล้วว่าเจ้าเป็นพวกภายนอกไม่ตรงกับภายใน ปากยื่นปากยาวยิ่งกว่าพวกหญิงในตลาด ขืนแต่งให้เจ้าจริง ชั่วชีวิตนี้หูนางคงไม่มีวันได้สงบกระมัง”
“แม่นางอาหลิงช่างชอบพูดเล่นเสียจริง” ได้ยินคำพูดเสียดสีของนางแล้ว เขาไม่โกรธ แต่ยิ้มพูด “หากบุญคุณที่ช่วยชีวิตล้วนต้องตอบแทนด้วยร่างกาย เช่นนั้นวันนี้เจ้ามิต้องมอบกายให้ข้าแล้วหรือ”
นางหน้าบึ้ง เงยหน้าถลึงตาใส่เขา กลับเห็นชายผู้นั้นบิดขี้เกียจ จากนั้นเหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงพูดต่อ
“อา จะว่าไป ในอดีตพี่เหลยดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บและถูกแม่ของตงตงช่วยไว้โดยบังเอิญ ตอนนั้นเขาก็ตอบแทนด้วยร่างกายจริงๆ” เขายิ้มพลางม้วนแขนเสื้อ เงยหน้าแต่ไม่ได้มองนาง เพียงหยิบที่คีบถ่านขึ้นมา เพิ่มถ่านลงไปในเตาฝังพื้น “เหลยเฟิงเป็นคนปักใจในความรัก อย่าว่าแต่สองปีเลย ข้าว่าจนกระทั่งแก่ตายเขาก็ไม่มีทางแต่งงานใหม่หรอก”
อาหลิงเหลือกตาอีกครั้ง ในที่สุดก็อดโพล่งออกมาไม่ได้
“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่สนใจว่าเจ้าคนทำเต้าหู้ผู้นี้คิดจะแต่งงานใหม่หรือไม่ ไม่สนใจแม้แต่น้อย”
เขาตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้น เพียงเกลี่ยก้อนถ่านให้เสมอกัน “อืม ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สนใจ”
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงพล่ามไม่หยุด”
“เพราะข้าอยากพูดอย่างไรเล่า”
นางเบิกตามองคนผู้นี้ เห็นเขายิ้มพลางวางที่คีบถ่าน ลุกขึ้นปัดก้นและเอ่ยว่า “มืดแล้ว ข้ากลับห้องไปนอนก่อน กับข้าวข้าเป็นคนทำ จานชามรบกวนเจ้าล้างด้วยแล้วกัน”
ว่าอย่างไรนะ?!
อาหลิงประคองชามเปล่าในมือ ยังไม่ทันได้ตอบอะไร ชายผู้นั้นก็เลื่อนเปิดประตูที่เชื่อมไปยังลานโล่งกลางเรือน ก่อนจะปิดประตูดังฉับ
“กับข้าวใช่เจ้าทำเสียที่ใด ไป๋ลู่เป็นคนทำชัดๆ!”
นางโพล่งออกมาอย่างช้าเกินไป ชายหน้าไม่อายคนนั้นกลับตอบนางเสียงดังผ่านบานประตู
“โจ๊กเนื้อตากแห้งรมควันข้าเป็นคนทำ เต้าหู้ราดน้ำผึ้งก็ด้วย เจ้ากินทั้งสองอย่าง อย่าได้ปฏิเสธเชียว…”
คำพูดนี้เขายังมีหน้าพูดออกมาอีก ก็แค่เทของรวมกัน นับว่าทำอาหารได้ด้วยหรือ คนผู้นี้ยังมียางอายอยู่หรือไม่
อีกเพียงนิดเดียวนางจะเขวี้ยงชามเปล่าในมือออกไปแล้ว แต่ครั้งก่อนที่นางปาชามใส่เขา เขาถึงขั้นเก็บชิ้นส่วนของชามที่แตกกลับมาจนครบ ใช้ดินเหนียวติดเข้าด้วยกันใหม่ ระหว่างนั้นยังบรรยาย ‘ประวัติการเรียนเผาชามดินเผาของข้า’ ให้นางฟังด้วย แน่นอนเขาใช้เข็มเงินควบคุมนาง ทำให้นางหนีไปที่ใดไม่ได้
พอคิดว่าหากเขวี้ยงชามออกไปก็ต้องถูกบังคับให้นั่งฟังเขาบรรยายเรื่องเดิมใหม่อีกรอบ ฟังวิธีการผลิตและซ่อมแซมชามดินเผา แค่นี้นางก็ปวดหัวตุบๆ แล้ว
นางจะไม่ล้าง เขาจะทำอะไรได้
อาหลิงกระแทกชามสีขาวกับช้อนไม้ไผ่ลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นเปิดประตูบานเลื่อนและเดินกลับห้องของตัวเอง
บริเวณลานโล่งกลางเรือน หิมะปลิวว่อน ประตูห้องเขาปิดไปแล้ว ภายในห้องจุดไฟ แสงไฟสะท้อนเงาที่เคลื่อนไหวของเขาลงบนประตูหน้าต่าง
นางไม่ได้มองอีกแม้แต่แวบเดียว กลับห้องและปิดประตู
เตาฝังพื้นในห้องนางดับมอดไปแล้ว แต่หญิงที่ชื่อไป๋ลู่เอาถ่านใหม่มาวางไว้ด้านข้าง ทั้งยังพับฟูกผ้าห่มให้นางใหม่ด้วยก่อนจะจากไป
หญิงผู้นี้เห็นแล้วช่างน่าโมโหจริงๆ
ถ้าไป๋ลู่โง่งมจริงๆ ก็แล้วไปเถอะ แต่นางเคยอ่านใจของอีกฝ่าย รู้ว่าหญิงคนนั้นไม่โง่ เฉลียวฉลาดทีเดียว แต่กลับโง่ถึงขั้นยอมเชื่อซูเสี่ยวเม่ยอีกครั้งทั้งที่เคยถูกบุรุษทำร้ายมาอย่างนั้น
ใบหน้าของใครอีกคนในอดีตผุดขึ้นในหัว ซ้อนทับกับใบหน้าที่เด็ดเดี่ยวของไป๋ลู่
คาถาที่นางร่ายเอง ใช้โลหิตของนาง ใช้ปากของนาง ใช้มือของนางร่ายขึ้นมาเอง
รอยยิ้มเย็นผุดขึ้นบนริมฝีปาก
หญิงผู้นั้นได้แต่ผ่านพ้นค่ำคืนที่มีแสงจันทร์ซ้ำๆ นางต้องการให้อีกฝ่ายทรยศหักหลังชายผู้นั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนที่เคยหักหลังนางในอดีต และนางจะคอยตรวจสอบให้แน่ใจตลอดไปว่าเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้น
นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกขังอยู่ที่นี่
ไม่มีทาง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 ม.ค. 64