ชายหนุ่มตำยาอยู่ข้างหลัง นางมองเห็นเงาร่างเขาถูกแสงไฟทอทาบลงบนผนังห้อง
แม้จะสัมผัสเขาเพียงชั่วครู่ แต่ชั่วครู่นั้นนางก็มองเห็นมากเกินไปแล้ว
เขารู้อะไรมากมาย มากมายเกินไป
เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ อีกทั้งยังไม่ใส่ใจว่าคนอื่นจะมองเขาอย่างไร เขาถึงได้ให้นางอ่านความคิดในหัวเขาอย่างอิสระ
นางรู้ว่าคนอย่างเขาน่ากลัวที่สุด
ชั่วขณะนี้เองที่นางตระหนักว่าการจะพาตัวเองออกไปจากที่นี่ เกรงว่าคงไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้น
เหมือนแค่ชั่วพริบตา หลายวันคืนก็ผ่านพ้นไป
หลายวันนี้หญิงสาวสงบเสงี่ยมลง ไม่ทำอะไรส่งเดชอีก ถึงขั้นไม่ได้พยายามอ่านใจเขา ไม่ได้พลิกดูความคิดในหัวสมองเขาอีก
หญิงสาวที่เดิมทีมักขึงตาใส่เขาด้วยความโมโหอยู่เสมอเหมือนหมดความสนใจในตัวเขาไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าเขาทำอะไร นางล้วนไม่ต่อต้าน ราวกับเขาไม่มีตัวตน
ด้วยเหตุนี้กระดูกซี่โครงที่หักของนางจึงประสานเข้าด้วยกันอีกครั้งในที่สุด ร่างกายก็ไม่ได้มีแผลใหม่เพิ่มเติม
ซ่งอิ้งเทียนอุทานด้วยความตกใจกับความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองของหญิงผู้นี้อีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เขารู้อยู่แล้วว่ามารปีศาจและมนุษย์กึ่งสัตว์มีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งยิ่ง แต่ไม่เคยเห็นใครที่ฟื้นฟูตัวเองได้เร็วเช่นนางมาก่อน ทำให้เขาได้เปิดโลกครั้งใหญ่
นางไม่สนใจเขา เขาก็ไม่ถือสา คนป่วยล้วนหงุดหงิดง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าข้างนอกยังมีปีศาจตามล่านางอยู่ นางถูกเขาบังคับพาขึ้นมาบนเกาะ เขาสามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดนางมักจะไม่พอใจถึงเพียงนี้
ดังนั้นเขาจึงทำงานของตัวเองไป
เขาเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงอาจารย์อาผู้ที่แม้จะอายุมากกว่าท่านพ่อซึ่งอยู่ลำดับสาม แต่กลับยืนกรานให้พวกเด็กๆ อย่างเขาเรียกว่าอาจารย์อา ขอยืมตำราที่อาจารย์ปู่เป็นคนเขียนขึ้นและถือโอกาสนี้แสดงความยินดีกับศิษย์น้องหญิงที่ประสบความสำเร็จในการแต่งงานเป็นภรรยาผู้อื่นแล้ว ทั้งยังเขียนจดหมายอีกฉบับไปขอขมาอาจารย์ลุง บอกว่าตนติดธุระจึงมิอาจเดินทางขึ้นเหนือไปเยี่ยมคารวะ หลังจากนั้นเขียนจดหมายอีกฉบับถึงอาจารย์อาสี่และอาจารย์อาห้า ขอยาสมุนไพรล้ำค่าที่เจริญเติบโตได้เฉพาะในเขตร้อนจัดอย่างเขาเหยี่ยวดำเท่านั้น
ฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว อากาศเริ่มเย็น ค่อยๆ หนาวเหน็บ
เขาเห็นนกอพยพบินลงใต้ รู้สึกว่าลมหนาวเริ่มบาดกระดูก
ขณะกำลังครุ่นคิดว่าจะแจ้งไป๋ลู่ให้บอกป้าสามให้ส่งถ่านมาเพิ่มดีหรือไม่ เผื่อไว้ใช้ยามจำเป็น หญิงสาวคนนั้นก็ลุกขึ้นมา
หายากที่จะเห็นนางเคลื่อนไหว เขาไม่รีบเงยหน้ามองนาง เพียงหลุบคิ้วหลุบตาเขียนจดหมายต่อไป
ผ่านไปครู่ใหญ่หญิงสาวที่หลายวันมานี้ไม่สนใจเขาก็กระแอมกระไอสองทีในที่สุด
ซ่งอิ้งเทียนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“นี่”
เขาก้มหน้าตวัดพู่กันอย่างรวดเร็วต่อ
“คนแซ่ซ่ง!”
ครานี้นางขึ้นเสียง น้ำเสียงเจือแววโมโหอยู่ด้วยเล็กน้อย เขาใคร่ครวญดูแล้ว รู้ว่านางไม่มีความอดทนพอที่จะเรียกเขาเป็นครั้งที่สามแน่จึงเงยหน้าขึ้น
“หืม? แม่นาง เจ้าเรียกข้าหรือ”
นางเชิดหน้าขาวซีด จ้องเขาด้วยดวงตาดำสนิทคู่นั้น ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ใช่ ข้าเรียกเจ้า”
เขามองนางและยิ้มน้อยๆ “เจ้ารู้นี่ว่าข้าชื่อซ่งอิ้งเทียน เจ้าเรียกข้าว่าอิ้งเทียนได้”
หางตานางกระตุกทีหนึ่ง เพียงเม้มริมฝีปาก ข่มความรู้สึกอยากสวนกลับเอาไว้ แต่ดวงตายังคงสะท้อนแววไม่พอใจ