เงาดำกรูกันเข้ามาในอึดใจต่อมา ทันใดนั้นความเจ็บปวดของการถูกฉีกทึ้งก็ทำให้นางอ้าปากกรีดร้อง เลือดและเนื้อสาดกระเซ็นใต้แสงจันทร์ อาบย้อมดวงจันทร์สีขาวเงินจนกลายเป็นสีแดง
นางกรีดร้องและกรีดร้อง กรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ปากที่มีเขี้ยวปากแล้วปากเล่ายังคงพุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง…
อาหลิงดิ้นรน ร้องเสียงแหลมออกแรงขัดขืน หลังจากนั้นนางก็ตกลงจากแท่นสูง การตกลงมาครั้งนี้ไม่รู้เหตุใดจึงทำให้มารที่คลุ้มคลั่งพวกนั้นหายวับไป
นางลืมตาในสภาพเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว เห็นร่างกายท่อนล่างของตัวเองพันกับผ้าห่มจนเป็นก้อน ร่างกายท่อนบนกลับกลิ้งตกลงไปในเตาฝังพื้น
ถ่านไฟที่ยังหลงเหลืออยู่ในเตาเผาลวกมือนาง พริบตาเดียวก็ไหม้แขนเสื้อทำให้เกิดเปลวไฟขึ้น กลืนกินเนื้อผ้า
ชั่วขณะหนึ่งนางไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่สนใจแผลไฟลวกบนมือ แต่คว้าถ่านไม้ที่ยังติดไฟแล้วหันกลับไปพยายามต่อสู้กับมารปีศาจที่กลืนกินนางเหล่านั้น ทว่าเงยหน้ากลับไม่เห็นมารปีศาจใดๆ ตัวนางก็ไม่ได้อยู่ในถ้ำที่มีช่องหลังคา
นางอยู่ในเรือนที่สร้างจากไม้หลังหนึ่ง นอกจากนางแล้วก็ไม่มีคนอื่น
ภายในห้องเงียบสนิท มีเพียงแขนเสื้อข้างซ้ายของนางที่ยังคงลุกไหม้
อาหลิงหอบหายใจ ก่อนจะตระหนักว่าเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน
แค่ฝัน
นางโยนถ่านไม้ทิ้ง ดึงผ้าห่มที่พันร่างกายท่อนล่างออก ปีนขึ้นมาจากเตาฝังพื้น ฉีกแขนเสื้อที่ไหม้ทิ้งและโยนกลับเข้าไปในเตา แต่มือซ้ายของนางถูกไฟลวกแล้ว แม้แต่ใบหน้ายังปวดแสบ
มองแขนเสื้อที่ลุกไหม้อยู่ในเตาฝังพื้นตลอดจนเนื้อบนแขนที่ไหม้จนเละ หัวใจนางยังคงเต้นรัวไม่หยุด
ผ้าห่มข้างเท้าเปียกเหงื่อจนชุ่มไปนานแล้ว ชุ่มเหมือนจะย่ำเอาน้ำออกมาได้
ห้องนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความหวาดหวั่น
อาหลิงหมุนตัวโดยไม่เหลียวหลัง ดันประตูบานเลื่อนและเดินออกไป
ในลานโล่งกลางเรือน แสงจันทร์สาดส่องลงมาอย่างแผ่วเบา นางเงยหน้า เห็นเพียงดวงจันทร์ประดุจถาดเงินแขวนตัวอยู่บนท้องฟ้า
นางมองจันทร์เต็มดวง อาการสั่นเทากลับมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดเหมือนยังปกคลุมอยู่ทั่วกาย ร่างกายเหมือนยังมีเขี้ยวคมฝังอยู่ เปรียบเทียบกันแล้วความเจ็บจากแผลไฟลวกที่มือและหน้าไม่นับเป็นอะไรเลย
นางหลุบตาไม่มองจันทร์เพ็ญดวงนั้น เอาแต่ก้าวเร็วๆ ผ่านลานกลางแจ้ง เปิดประตูห้องของคนแซ่ซ่ง
ในห้องว่างเปล่าไร้คน ยังคงเป็นเหมือนเมื่อสิบวันก่อน แม้แต่ผ้าห่มยังถูกพับเก็บไว้ด้านข้างอย่างเรียบร้อย
สิบวันก่อนคนผู้นั้นทิ้งกระดาษแผ่นหนึ่งไว้ในโถงด้านหน้า บอกว่าเขามีธุระต้องออกไปข้างนอกสามวัน หลังจากนั้นนางก็ไม่เห็นเขาอีก
แม้ซูเสี่ยวเม่ยจะขึ้นเกาะมากับไป๋ลู่นำอาหารมาส่งให้นาง แต่นางยังคงรู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่ง
นางค้นกล่องรื้อตู้ในห้องเขา หายารักษาแผลไฟไหม้ กัดฟันถอดเสื้อผ้าที่เหนียวติดร่างกายเพราะแผลไฟไหม้ แม้นางจะพยายามระมัดระวังแล้ว แต่ยังคงฉีกแผลที่เกือบจะสมานเข้าด้วยกันจนปริออก หนังหลุดมาชิ้นหนึ่ง ทำเอาใบหน้านางกระตุกอีกครั้ง อดทนกับความเจ็บทายาโดยเร็ว
เนื้อยาเย็นเฉียบที่มีลักษณะคล้ายขี้ผึ้งบรรเทาความเจ็บปวดได้แทบจะในพริบตา
อาหลิงคุกเข่ากับพื้น พรูลมหายใจ หลับตาปล่อยให้ตัวยาซึมเข้าสู่ผิวกาย ทว่าพอหลับตาลง เงาดำพวกนั้นกลับวูบไหวอยู่ใต้เปลือกตาอีกครั้ง ทำให้หัวใจเต้นรัวด้วยความตระหนก
ทั้งที่รู้ดีว่าเป็นความฝัน แต่นางก็ยังคงตกใจ
นางลืมตาอย่างรีบร้อน ถึงได้เห็นว่าประตูที่หันออกข้างนอกเปิดอยู่ เงาดำพวกนั้นคือเงาไม้นอกห้องของเขา
ภายใต้แสงจันทร์ พอลมพัด เงาไม้ก็ส่ายไหว ดูเหมือนมารปีศาจที่แยกเขี้ยวกางเล็บอย่างไรอย่างนั้น
ความโง่เขลาของตัวเองตลอดจนความตระหนกกลัวที่มิอาจควบคุมได้ทำให้นางรู้สึกโมโห เสื้อผ้าเปียกชื้นบนร่างกายยิ่งสะท้อนถึงความหวาดกลัวของนางอย่างชัดเจน อาหลิงยกมือขึ้นถอดเสื้อผ้าชื้นเหงื่ออย่างไม่สบอารมณ์แล้วโยนทิ้งไปด้านข้างส่งๆ
ประตูบานนั้นนางเป็นคนเปิดไว้เองเมื่อหลายวันก่อนตอนฝนตก เดิมทีเพราะโมโหที่เขาทิ้งนางไว้ที่นี่ จงใจอยากให้ลมฝนพัดใส่ห้องเขาจนเปียก แต่ฝนตกไม่นานก็หยุด ไม่ได้ทำให้ห้องเขาเปียก เวลานี้กลับทำให้นางตกใจเสียเอง
อาหลิงเดินไปข้างหน้าอย่างขุ่นใจ กระแทกปิดประตูดังปัง ปิดกั้นจันทร์เพ็ญกับเงาไม้ไว้ข้างนอก
ด้วยไม่อยากกลับไปนอนบนที่นอนและผ้าห่มเปียกชื้นของตัวเอง นางจึงหันหลังเอาฟูกผ้าห่มที่พับเก็บอยู่ด้านข้างของเขามาปูข้างเตาฝังพื้น คว้าผ้าแห้งที่แขวนอยู่ด้านข้างมาเช็ดตัว ก่อนจะมุดเข้าไปขดตัวในผ้าห่มแห้งสบาย ก่นด่าสารเลวผู้นั้นในใจด้วยความโมโห
ไหนว่าจะออกไปข้างนอกสามวัน นี่มันสิบวันแล้ว ถ้าไป๋ลู่กับซูเสี่ยวเม่ยไม่เอาอาหารมาส่ง นางมิต้องทนหิวเป็นสิบวันหรือ
ถ้าเจ้านั่นไม่ระวังตายอยู่ข้างนอก เช่นนั้นนางมิต้องถูกขังอยู่ที่นี่ตลอดไปหรือ