บทที่ 10
ลมโชยพัดอย่างแผ่วเบา กระดิ่งที่แขวนอยู่ใต้ชายคาส่งเสียงเบาๆ
นางแอบเข้าไปในห้วงความรับรู้ของเขา ก่อนหน้านี้ยังได้ยินเสียงกระดิ่งลมอยู่ ทว่าอึดใจต่อมากลับพบว่าตัวเองอยู่บนทุ่งหญ้าเขียวขจี
ภูเขาสูงไกลออกไปมีหิมะ ทุ่งหญ้าที่อยู่ใกล้เหมือนคลื่นที่โถมซัด ยังมีแกะก้มหน้ากินหญ้าอยู่ด้วย
ใต้ท้องฟ้าสีน้ำเงินไร้เมฆที่ทอดยาวออกไปนับหมื่นลี้มีสายน้ำคดเคี้ยวไปมาอยู่บนผืนหญ้า ทอประกายระยิบระยับใต้แสงอาทิตย์สีทอง
ผีเสื้อสีขาวคู่หนึ่งโบยบินมาเกาะอยู่บนดอกไม้ดอกเล็กข้างเท้า
ดอกไม้สีเหลืองกระจายอยู่บนผืนหญ้าสีเขียว จากปลายเท้านางแผ่ขยายออกไปจนไกลโพ้น ดอกไม้แต่ละดอกพลิ้วไหวตามสายลม เหมือนกำลังโบกมือยิ้มน้อยๆ ให้นาง
ทิวทัศน์ตรงหน้าโปร่งโล่งถึงเพียงนี้ ทั้งยังงดงามถึงเพียงนี้ เต็มไปด้วยสีสันสดใส ไม่เหมือนสิ่งที่นางเคยพบเห็นมา
ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินถึงเพียงนั้น ทุ่งหญ้าเป็นสีเขียวถึงเพียงนี้ นางถึงขั้นได้กลิ่นของต้นหญ้า ได้กลิ่นของดอกไม้ ได้กลิ่นของสายน้ำ
ชั่วขณะนั้นนางมิอาจขยับกาย รู้สึกตื่นตระหนกยิ่ง
ทันใดนั้นมือใหญ่อุ่นร้อนก็พลิกกลับและเป็นฝ่ายกุมมือนางไว้
อาหลิงอึ้งไป หันกลับไปเห็นเพียงชายผู้นั้นยืนอยู่ในทุ่งหญ้ากับนาง เขากุมมือนาง หลุบตายิ้มให้
รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนเกินบรรยาย สายตาคู่นั้นจดจ่อถึงเพียงนั้น
หัวใจนางเต้นระรัวทันใด
นางรีบหดมือกลับมา ทะเลดอกไม้และทุ่งหญ้าพลันเลือนหาย มีเพียงเขาที่ยังอยู่ตรงหน้า หลับตานอนโดยมีโต๊ะและกระดานหมากขวางกั้น
หัวใจนางยังคงเต้นถี่ราวกับจะกระดอนออกมาจากโพรงอกอย่างไรอย่างนั้น
โดยไม่ต้องคิด นางลุกขึ้นทิ้งกระดานหมากที่ตนเป็นฝ่ายได้เปรียบ หมุนตัวและเดินออกไป ตรงเข้าไปในป่า แต่ไม่ว่าจะเดินออกไปไกลเพียงใดก็ยังคงรู้สึกเหมือนมือของตัวเองถูกมือใหญ่กุมไว้เบาๆ ห่อหุ้มไว้ด้วยความอ่อนโยน ยังคงมองเห็นดวงตาเขาที่จับจ้องนาง ราวกับจะมองให้ทะลุไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
อาหลิงเดินสะเปะสะปะอยู่ในป่าและหลงอยู่ในค่ายกล ไม่รู้ไฉนจึงรู้สึกทั้งโกรธและโมโห ขณะที่นางกำลังหงุดหงิดหัวเสียนั้นเอง พลันเห็นเด็กหญิงสกุลเหลยคนนั้นอยู่กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นางไม่เคยพบเจอมาก่อน
เหลยตงตง
นางจำเด็กคนนี้ได้ ตงตงหูไม่ได้ยินเสียง
เด็กคนนี้มักจะตามบิดามาส่งเต้าหู้ทุกครั้ง คนที่ขึ้นมาบนเกาะปีศาจได้มีไม่มาก พ่อลูกสกุลเหลยเป็นหนึ่งในคนส่วนน้อยเหล่านั้น ซ่งอิ้งเทียนเคยบอกนางว่าเป็นเพราะสมัยเป็นเด็กตงตงถูกลมหนาวจนป่วยหนักเป็นไข้ทำให้หูได้รับความกระทบกระเทือน เขาช่วยชีวิตไว้ ดังนั้นเหลยเฟิงจึงส่งเต้าหู้มาเป็นค่ายาให้เขานับแต่นั้นมา
เวลาเหลยเฟิงมาที่เกาะมักจะพาตงตงบุตรสาวมาด้วยเสมอ และสนทนากับซ่งอิ้งเทียนอยู่ในห้องเป็นเวลานาน
นางไม่เคยยุ่งกับชายแซ่เหลยผู้นั้น เขาไม่สนใจนาง แทบไม่เคยมองมาที่นางสักนิด นางไม่ล่วงเกินอีกฝ่ายเป็นเพราะดูออกว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ดูจากท่าเดินของเขาก็รู้ว่าวรยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าซูเสี่ยวเม่ยเลย
หากไม่ถูกสร้อยประคำบนคอควบคุมอยู่ คนผู้นี้สำหรับนางแล้วไม่นับเป็นตัวอะไร แต่บัดนี้ขอเพียงเป็นยอดฝีมือที่วรยุทธ์ดีหน่อยก็สามารถกำราบนางจนล้มลงบนพื้นได้แล้ว
ที่ทำให้นางระมัดระวังยิ่งขึ้นคือบางครั้งตอนชายแซ่เหลยผู้นั้นสบตานาง ดวงตาคู่นั้นไม่เพียงไม่มีความสนใจแม้แต่นิด ยังเจือแววเย็นชาอำมหิตอยู่จางๆ อีกด้วย
เพียงแวบเดียวนางก็รู้ว่าถ้าคนผู้นี้ลงมือจะต้องไม่ปรานีแน่
ประกอบกับความจริงที่ว่าซ่งอิ้งเทียนป้องกันนางอย่างรัดกุม ถ้ามีคนอื่นมาที่เกาะ เขามักไม่ปล่อยให้นางอยู่คนเดียว เหตุการณ์ของเช้าวันนี้ยังเป็นเพราะเขาหลับไป นางถึงได้หนีออกมา
เห็นเด็กน้อยคนนั้นอยู่กับเด็กหนุ่มที่ไม่รู้มาจากที่ใด รอบด้านไม่พบเหลยเฟิง นางจึงหลอกล่อเด็กหญิงเข้ามา พยายามอ่านใจอีกฝ่ายและหาวิธีออกไปจากเกาะ คิดไม่ถึงว่าตงตงจะไม่ยอมมา นางโมโหจึงเข้าไปคว้ามือเด็กหญิงและพยายามใช้กำลังอ่านใจ หากสามารถสะกดจิตเด็กคนนี้ให้ช่วยถอดสร้อยประคำได้ก็ยิ่งดี