เยี่ยหลันอินกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าไม่รบกวนน้องหญิงสามกับจื้อจื่อแล้ว” นางทนอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ไหว จึงพาเฉี่ยวเอ๋อร์จากไป
หลีซูซูกระชับชุดคลุมกันลมนุ่มฟูบนร่างให้แน่น นางหลุบตามองจอมมารที่คุกเข่าอยู่ข้างเท้า
การสังหารเขาอาจเป็นความใฝ่ฝันของทุกผู้ทุกคนในโลกบำเพ็ญเพียร เบื้องบนไปจนถึงองค์เหนือหัว เบื้องล่างไปจนถึงเด็กน้อย
นี่ก็เป็นปณิธานอันยิ่งใหญ่ที่หลีซูซูตั้งไว้ในใจตั้งแต่เด็กเช่นกัน!
เวลานี้เขาดูอ่อนแอมิอาจทนการโจมตีใดๆ ได้ จอมมารในวัยเยาว์เปราะบางเหมือนทารกกระนั้น
เด็กสาวฝ่ายธรรมะทำท่าจะลงมือ
เคราะห์ดีที่หลีซูซูสะกดความคิดนี้ไว้ได้อย่างหวุดหวิด
ผู้บำเพ็ญเพียรล้วนมีแก่นวิญญาณ เฉกเช่นเดียวกับมารโดยกำเนิดที่ย่อมมีกระดูกมาร
เหล่าผู้อาวุโสเคยบอกว่าหากไม่กำจัดกระดูกมารของจอมมาร ต่อให้สังหารเขาแล้ว เขายังคงสามารถดูดซับไอแค้นทั่วฟ้าดินและเกิดใหม่ได้
นั่นก็หมายความว่าการฆ่าเขากลับเป็นการทำให้เขาแข็งแกร่งกว่าเดิม
นางต้องหาวิธีกำจัดกระดูกมารให้ได้เสียก่อน
ถานไถจิ้นรู้สึกถึงไอสังหารอย่างเลือนราง เขาเหลือบตาขึ้นก็เห็นเด็กสาวเบนสายตาออกไปแล้ว
จากสายตาเขา มองเห็นเพียงพวงแก้มครึ่งซีกของนาง ยังมีใบหูขาวสะอาดที่เปิดเผยอยู่ภายนอก ริมฝีปากนางยื่นออกมานิดๆ คล้ายกำลังไม่พอใจ ปากคู่นั้นดูนุ่มเนียน จิ้มลิ้มน่ารัก
ท่าทางเช่นนี้ ดูไม่สอดคล้องกับความร้ายกาจของนางแม้แต่น้อย
ถานไถจิ้นหนาวจนไร้ซึ่งความรู้สึก ร่างกายล้มลงบนพื้นน้ำแข็งกะทันหัน
เด็กสาวผู้สูงศักดิ์ชะงักครู่หนึ่ง มิได้มองเขาและเดินผ่านข้างกายเขาไป
เขาขดตัวอยู่บนพื้น ในครรลองสายตา บนรองเท้าปักลายสีชมพูของเด็กสาว ดอกท้อสีขาวอมชมพูผลิบานดอกแล้วดอกเล่า
ล้วนเปี่ยมด้วยพลังชีวิต
ตอนกลางคืนแม่ทัพใหญ่เยี่ยมิได้กลับจวน ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว ไม่กระปรี้กระเปร่านัก จึงบอกให้ทุกคนกินอาหารค่ำที่เรือนของตนเอง
หลีซูซูอาบน้ำเสร็จ ชุนเถาก็ปรนนิบัตินางเข้านอน
ชุนเถาปล่อยผมให้นาง เห็นคิ้วตาของนางดูงดงามน่ารักยิ่งนักภายใต้แสงไฟ จึงอดเอ่ยชมมิได้ “เส้นผมของคุณหนูสามทั้งลื่นทั้งนุ่ม”
พอชมเสร็จก็ตกใจ เกรงว่าคุณหนูสามจะโมโหหาว่านางไม่รู้ธรรมเนียมมารยาท ไม่คิดว่าคุณหนูสามจะยิ้มจนคิ้วตาโค้งลงทั้งยังเอ่ยว่า “เส้นผมของชุนเถาก็งามเช่นกัน”
เด็กสาวอีกคนที่ชื่อสี่สี่วิ่งเข้ามา ย่อกายให้หลีซูซูและงึมงำเสียงเบาเหมือนเสียงยุง “ฮูหยินผู้เฒ่าให้คน…ส่งตัวจื้อจื่อกลับมาเจ้าค่ะ”
หลีซูซูเหลือบตาขึ้น เห็นถานไถจิ้นเดินเข้ามาในเรือนตามคาด
เกล็ดน้ำแข็งบนผมของเด็กหนุ่มเพิ่งละลาย เมื่อสัมผัสกับความอบอุ่นภายในห้องก็กลายเป็นหยดน้ำหยดแล้วหยดเล่า
เขานำพาไอหนาวเย็นจากลมหิมะข้างนอกมาด้วย เม้มปากมองหลีซูซูอย่างอึดอัด
ตอนนี้ยังไม่ถึงยามโหย่ว* แต่เนื่องจากอากาศเหน็บหนาว ท้องฟ้ามืดเร็ว ข้างนอกจึงมืดสนิทแล้ว
พอเขาเข้ามา อากาศดูเหมือนจะนิ่งชะงัก
ชุนเถากับสี่สี่รีบพูด “คุณหนูสาม พวกบ่าวขอตัวเจ้าค่ะ”
ชุนเถากับสี่สี่ปิดประตู
ถานไถจิ้นเอ่ยถามน้ำเสียงแหบพร่า “คุณหนูสามหายโมโหหรือยัง”
หลีซูซูไม่ชอบหน้าเขา นางส่ายหน้าตอบ “ยัง”
เขาหลุบตาลง ขนตาดำเข้มดุจขนอีกาแผ่คลุมดวงตา ความอบอุ่นภายในห้องกลับทำให้มือเท้าของเขาที่ถูกความเย็นจนเป็นแผลทั้งเจ็บทั้งคัน ผิวกลายเป็นสีแดงวงใหญ่
หลีซูซูชำเลืองมองแวบหนึ่ง แค่นเสียงเบาๆ ในใจ จอมมารไม่น่าสงสารสักหน่อย
นางเคยรักษาลูกเหยี่ยวปีกหัก เด็กน้อยที่ไม่สบาย ผู้เฒ่าที่เส้นผมขาวโพลน
แต่กฎเหล็กข้อแรกของพิภพเซียน แม่นางน้อยที่บำเพ็ญเพียร ห้ามเห็นใจจอมมารที่อ่อนแอเป็นอันขาด
* การสอบขุนนางในจีนสมัยโบราณ (เคอจวี่) แบ่งเป็นฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ โดยสอบเลื่อนทีละระดับชั้น เริ่มจากระดับอำเภอหรือจังหวัดเรียกว่าการสอบถงซื่อ ผู้สอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าร่วมสอบเซียงซื่อในระดับมณฑล หากสอบผ่านจะได้เป็นจวี่เหริน ซึ่งต้องเข้ามาสอบระดับฮุ่ยซื่อที่เมืองหลวงเพื่อขึ้นเป็นจิ้นซื่อ ได้เข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก เมื่อผ่านการสอบทั้งสามระดับ จะได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งคือการสอบเตี้ยนซื่อ เพื่อคัดเป็นบัณฑิตเอกสามขั้น ซึ่งบัณฑิตเอกชั้นหนึ่งมีสามคน เรียงตามคะแนนเรียกว่าจ้วงหยวน (จอหงวน) ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวา
* หมัวมัว เป็นคำเรียกหญิงสูงวัย มีความหมายหลากหลาย ทั้งย่า ยาย แม่นม ป้า และยังเป็นคำเรียกหญิงรับใช้อาวุโสในเชิงยกย่อง รวมถึงนางข้าหลวงอาวุโสในวังหลวงด้วย
* ยามโหย่ว คือช่วงเวลาตั้งแต่ 17.00 น. ถึง 19.00 น.
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.