บทที่ 3
พอหลีซูซูคิดถึงสายตาของคนผู้นี้ตอนหิ้วตัวนางขึ้นมาพิจารณาในวังมารในอนาคต นางก็บดฟันกรามเบาๆ
เด็กหนุ่มตรงหน้าดูขลาดกลัวและต้อยต่ำ แต่หลีซูซูไม่เชื่อหรอกว่าจอมมารในวัยเยาว์จะมีนิสัยเช่นนี้
นี่คงจะเสแสร้งมากกว่า
ป้ายวิญญาณนับไม่ถ้วนวาบผ่านไปในสมองของนาง ยังมี ‘สุสานหมื่นเซียน’ ที่โหดร้ายนั่นอีก ทำให้โทสะคนปั่นป่วน
หลีซูซูหยิบกล่องใบหนึ่งออกมาจากใต้เตียง ข้างในมีแส้สีแดงดุจโลหิตเส้นหนึ่ง
ถานไถจิ้นมองแส้ นิ้วมือในแขนเสื้อกำเข้าด้วยกันช้าๆ
หลีซูซูเหลือบตามองเขา
พูดไปแล้วก็วิปริตทีเดียว เรื่องน่าโมโหที่สุดในชีวิตนี้ของเจ้าของร่างเดิม มิพ้นการแต่งให้กับถานไถจิ้น ถึงขั้นที่ว่าทุกค่ำคืนจะต้องหวดแส้ใส่เขาเพื่อระบายโทสะ
เรื่องนี้กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว คืนใดไม่เฆี่ยนเขา เจ้าของร่างเดิมจะรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว
หลีซูซูไม่เคยใช้แส้เฆี่ยนคนมาก่อน นางไม่ชอบสิ่งชั่วร้ายแต่กำเนิดผู้นี้ นางมิได้คิดว่ามารปีศาจทั้งหมดล้วนชั่วช้า แต่บุคคลตรงหน้าผู้นี้ ในอนาคตต้องมิใช่คนดีแน่นอน
เป็นพันหมื่นปี โลกจึงจะปรากฏคนที่มีกระดูกมารแต่กำเนิดสักคน
เขาถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องเป็นดาวหายนะเดียวดาย* ต่อไปนิสัยจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเหี้ยมโหด แม้แต่ตัวเขาเองก็มิอาจควบคุมได้
หลีซูซูตวัดแส้ทันใด
แส้ฉีกทึ้งอากาศจนเกิดเสียงขณะพุ่งไปยังเด็กหนุ่ม
ถานไถจิ้นมิได้หลบเลี่ยง แส้หวดลงบนแผงอกเขา เขาซวนเซถอยหลังหนึ่งก้าว
นัยน์ตาเขาดำสนิทดุจแต้มด้วยหมึก จ้องมองหลีซูซูเขม็ง
ในดวงตาคู่นั้นของเขา ในที่สุดหลีซูซูก็มองเห็นความชิงชังและความเจ็บปวดที่ซุกซ่อนอยู่ลึกเป็นพิเศษ
สมควรเป็นเช่นนี้ล่ะ
ธรรมะกับอธรรมเดิมทีก็อยู่ร่วมกันไม่ได้อยู่แล้ว
หลีซูซูเลียนแบบคำพูดทุกค่ำคืนของเจ้าของร่างเดิม “ล้วนเป็นเพราะเจ้า องค์ชายหกจึงไม่ยอมแต่งข้า ไยเจ้าจึงไม่ไปตายเสีย!” นางเฆี่ยนแส้ไปที่แขนของเด็กหนุ่มอีกครั้ง
เขาครางเสียงค่อย ร่างกายสั่นระริกตามไปด้วย
ถานไถจิ้นคุกเข่าบนพื้นหิมะนานถึงเพียงนั้น ร่างกายเริ่มบวมและเจ็บระบมแล้ว ยามนี้แส้หวดลงบนแขนที่เดิมทีด้านชาไปนานแล้วสองที ขยายความเจ็บปวดให้เพิ่มขึ้นหลายเท่าจนนับไม่ถ้วน กระดูกเกร็งกระตุกเพราะความเจ็บเป็นพักๆ
มือของหลีซูซูที่ถือแส้ชะงัก ดูเหมือนเขาใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว? ถึงอย่างไรก็เป็นร่างของมนุษย์ธรรมดา อ่อนแอยิ่งนัก
หลีซูซูสูดหายใจเฮือกหนึ่ง พึมพำคาถาสงบจิตในใจหลายครั้ง นางมองนิ้วมือนุ่มเนียนของตนเอง ภารกิจของนางมิใช่การฆ่าจอมมารในวัยเยาว์ อีกทั้งต่อให้นางจะฆ่าเขา ก็ควรกระทำอย่างรวดเร็วฉับไว ไม่ควรย่ำยีให้ทรมาน
ตั้งแต่เล็กท่านพ่อสอนนางว่ามิอาจใช้อำนาจรังแกผู้อ่อนแอ ฟ้าดินไร้เมตตา เห็นสรรพสิ่งดังหนึ่งสุนัขฟาง* ดังนั้นผู้บำเพ็ญเซียนจะเป็นฝ่ายก่อกรรมทำเข็ญมิได้เด็ดขาด
หลีซูซูข่มความคิดอยากแก้แค้นแทนคนในสำนัก นางเก็บแส้พลางเอ่ยว่า “วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว เห็นหน้าเจ้าก็หงุดหงิด ครั้งหน้าหากให้ข้ารู้ว่าเจ้ากับเยี่ยปิงฉางมีความเกี่ยวข้องอะไรกันอีก ข้าจะไม่ละเว้นเจ้าง่ายๆ แน่”
นางเขวี้ยงแส้ใส่ตัวถานไถจิ้น จากนั้นนอนตะแคงหันหลังให้เขา
หลีซูซูหลับตาลง ท่องคาถาสงบจิตสิบรอบได้ ประคองจิตบำเพ็ญจนมั่นคงแล้วจึงพบว่านางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
นี่เป็นลักษณะของจิตบำเพ็ญที่ปั่นป่วน
นางไม่มีทางหนีความผิดของตนเอง คืนนี้ปฏิบัติตามธรรมเนียมของเจ้าของร่างเดิมดูหมิ่นทรมานเขา เป็นนางที่ทำไม่ถูก ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว
ถานไถจิ้นรับแส้ไว้ สีหน้าเขาเดิมอ่อนเพลียอยู่แล้ว เมื่อรับแส้ไปอีกสองที ใบหน้ายิ่งซีดเผือดกว่าเดิม
เขาเงยหน้ามองเงาหลังของเด็กสาว
อันที่จริงเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องถูกเยี่ยซีอู้เฆี่ยนปางตายแน่ แต่วันนี้กลับถูกเฆี่ยนน้อยลงไปหลายสิบที
หน้าผากของถานไถจิ้นมีเหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมชั้นหนึ่ง ฝืนสังขารหยิบฟูกผ้าห่มออกมาปูที่ใต้เตียง บนคอมีของสิ่งหนึ่งบาดปากแผลจนรู้สึกเจ็บ เขาหยิบออกมา
เป็นยันต์คุ้มครองที่สีซีดจางไปนานแล้ว ยันต์คุ้มครองนี้ร้อยด้วยด้ายดำ ซ่อนอยู่ใต้อาภรณ์เขามานานปี
แสงเทียนสะท้อนลงบนดวงตาเขา ไอเย็นสลายไปบางส่วน
ถานไถจิ้นเก็บยันต์คุ้มครองให้ดีและพลิกตัว ค่ำคืนในฤดูหนาว ลมแรงข้างนอกพัดเสียงดัง เงาไม้ทาบทอลงบนหน้าต่าง ดูเหมือนภูตผีปีศาจที่กางเล็บแยกเขี้ยว
ถานไถจิ้นพลันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อน ร่างของสาวใช้อิ๋นเชี่ยวถูกแทงจนเป็นแผลนับไม่ถ้วน ตอนนั้นศพนางแข็งทื่อ สีหน้าเจ็บปวดทรมาน ไม่รู้ว่านึกเสียใจภายหลังหรือไม่ที่เลือกให้เยี่ยซีอู้หลบหนีไป
ดวงตาของถานไถจิ้นนิ่งลึก มีแต่ความมืดมิด
เวลานั้นศพของสาวใช้ยังไม่เย็นทั้งหมด เลือดของนางย้อมพื้นหิมะจนเป็นสีแดง ไหลคดเคี้ยวมาถึงใต้ฝ่าเท้าเขา
นางตายตาไม่หลับ
เขายกเท้าขึ้นอย่างเฉยชาและก้าวข้ามไป