“ท่านพี่สะใภ้หกของข้าร่างกายอ่อนแอ สตรีที่มีจิตใจเยี่ยงอสรพิษอย่างเจ้ายังจะผลักนางตกน้ำ หากมิใช่เพราะเสด็จพี่ช่วยนางไว้ได้ทัน นางย่อมสุคนธ์สิ้นหยกสลาย* ไปนานแล้ว ท่านพี่สะใภ้หกจิตใจงดงามอ่อนโยน ไม่ถือสาหาความเจ้า แต่ข้าไม่ละเว้นเจ้าหรอก” องค์หญิงเก้าตวัดแส้หนึ่งที แส้หวดลงบนพื้น เกิดเสียงดังเฉียบคม “เยี่ยซีอู้ เจ้ากล้ามาประลองกับข้าสักตาหรือไม่”
หลีซูซูแม้ถือคติหม้อเยอะไม่ทับร่าง* แต่นางยังคงอดพูดมิได้ “ในเมื่อเป็นท่านพี่สะใภ้หกของท่านที่ตกน้ำ นางยังไม่ว่ากระไร ท่านจะโมโหไปไยเล่า”
นี่มิใช่สุนัขไล่จับหนู* จุ้นจ้านโดยใช่เหตุหรือ
หลีซูซูบังเกิดความสนเท่ห์จริงแท้ แต่องค์หญิงเก้ากลับรู้สึกว่าตนเองถูกล่วงเกิน สีหน้าจึงย่ำแย่กว่าเก่า
“ไม่ต้องมาพูดเหลวไหล เจ้ากลัวองค์หญิงเช่นข้าใช่หรือไม่” นางเป็นคนอารมณ์ร้อน เอ่ยคำพูดนี้จบ แส้ก็หวดเข้ามาแล้ว
ขันทีน้อยตรงหน้าหลีซูซูปราดเข้ามาขวางหน้าหลีซูซูไว้ “ตายแล้ว! องค์หญิงเก้า ทำเช่นนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ…”
“หลีกไป!”
แส้หวดลงบนตัวของขันทีน้อย หลีซูซูเม้มปากแน่น
นางปรับลมหายใจให้สงบ มององค์หญิงเก้าพลางส่ายหน้า “ข้าไม่ประลองกับท่าน ที่นี่คือวังหลวง หากฝ่าบาทกับไทเฮาเอาผิดจะทำอย่างไร”
พอนางเอ่ยคำนี้ออกมา องค์หญิงเก้าโค้งริมฝีปากอย่างดูแคลน
ใครๆ ต่างรู้ดีว่าแคว้นซย่าส่งเสริมวิชายุทธ์ ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกบ้านเมืองก็เข้าสู่มรรคาด้วยวิชายุทธ์ นับแต่นั้นมาไม่ว่าขุนนาง ชนชั้นสูง หรือสามัญชนทั่วไป ล้วนถือเอาทักษะเชิงยุทธ์อันแกร่งกล้าเป็นความภาคภูมิใจ
ผู้แข็งแกร่งเป็นที่ยกย่อง แคว้นซย่าคือภาพสะท้อนที่แท้จริงที่สุดของคำกล่าวนี้
แม่ทัพใหญ่เยี่ยไม่เคยพ่ายศึกมาก่อน ดังนั้นฐานะของเขาในแคว้นซย่าจึงสูงถึงเพียงนั้น
บุตรชายคนโตของแม่ทัพใหญ่เยี่ย ได้ยินว่าฝีมือก็ไม่ธรรมดา ทว่าคุณหนูสามผู้นี้ความสามารถกลับไม่โดดเด่น มิได้สืบทอดลักษณะของบิดามาโดยสิ้นเชิง
องค์หญิงเก้าฝึกยุทธ์ตั้งแต่เล็ก ทุกครั้งล้วนสามารถเฆี่ยนคุณหนูสามสกุลเยี่ยผู้โอหังจนไม่เหลือศักดิ์ศรีได้
แต่องค์หญิงเก้ากลับมิใช่บุคคลที่สามารถล่วงเกินได้ เยี่ยซีอู้อยากแก้แค้นก็ไม่มีปัญญา
และเพราะเหตุนี้เอง คุณหนูสามสกุลเยี่ยจึงทั้งโมโหทั้งหวั่นเกรงองค์หญิงเก้า
องค์หญิงเก้าได้ยินหลีซูซูพูดเช่นนี้ ก็ปักใจเชื่อว่าอีกฝ่ายกลัวตน นางเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อตัวข้าองค์หญิงเป็นฝ่ายชวนเจ้าประลอง เสด็จพ่อกับเสด็จย่าย่อมไม่ว่ากระไรอยู่แล้ว เกิดเรื่องขึ้นมา ตัวข้าองค์หญิงจะเป็นคนรับผิดชอบเอง เจ้าเถอะ แพ้แล้วอย่าได้เอาไปฟ้องแม่ทัพใหญ่เยี่ยเป็นอันขาด” นางพูดพลางตวัดแส้เข้ามาอีกครั้ง
หลีซูซูผลักขันทีน้อยด้านข้างออก นางกระจ่างแจ้งในที่สุด องค์หญิงเก้ารู้ว่านางจะเข้าวัง จึงตั้งใจมารออยู่ที่นี่ ตั้งใจจะเฆี่ยนนางสักรอบให้ได้เพื่อแก้แค้นแทนเยี่ยปิงฉาง
องค์หญิงเก้าทำร้ายเจ้าของร่างเดิมจนเป็นนิสัย เจ้าของร่างเดิมแม้จะร้ายกาจ แต่นิสัยหยิ่งทะนงเป็นพิเศษ ไม่เคยเอาเรื่องนี้ไปฟ้องผู้ใด
องค์หญิงเก้าเห็นหลีซูซูถอยหลบ ปากแดงโค้งขึ้นทันที “เด็กๆ มอบแส้ให้เยี่ยซีอู้เส้นหนึ่ง”
เดิมทีหลีซูซูไม่อยากมีเรื่อง โลกบำเพ็ญเพียรที่เต็มไปด้วยภัยพิบัติอันตราย ให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ทว่าโลกมนุษย์หาได้นิยมวิถีทางเช่นนี้ไม่ พวกเขาชอบบีบมะพลับนิ่ม*
ในเมื่อหลบไม่พ้น หลีซูซูจึงตัดสินใจหยิบกิ่งไม้กิ่งหนึ่งขึ้นมาจากพื้น
“ไม่จำเป็น ข้าใช้สิ่งนี้” นางปักกิ่งไม้ไว้ข้างกาย เด็กสาวสวมเสื้อบุนวมสีชมพูอ่อน ตั้งท่าป้องกัน
องค์หญิงเก้าโมโหจนหัวเราะออกมา “นี่เจ้ากำลังดูหมิ่นตัวข้าองค์หญิงรึ”
หลีซูซูไม่อยากจะตอบคำ “…” เจ้าว่าใช่ก็ใช่แล้วกัน
“ประเดี๋ยวเจ้าอย่าได้ร้องไห้เชียว” องค์หญิงเก้าสะบัดแส้ ฟาดมาที่หลีซูซูทันที
หลีซูซูใช้กิ่งไม้สกัดไว้ แส้หวดถูกกิ่งไม้ กิ่งไม้หักกระเด็นไปท่อนหนึ่งทันใด
องค์หญิงเก้าคลี่ยิ้มเหยียดหยัน