จันทราอัสดง
ทดลองอ่าน จันทราอัสดง บทที่ 5
หลีซูซูเดินเข้าไปและนั่งยองลงมองดู นางมองปราดเดียวก็เห็นไปถึงก้นบ่อ ในนั้นมีโครงกระดูกสีขาวน่ากลัวหลายโครง นี่เป็นบ่อน้ำแห้ง ไม่รู้มีอายุนานเท่าไรแล้ว
ที่แท้ในอดีตถานไถจิ้นอาศัยอยู่ในสถานที่ที่มีโครงกระดูกกองพะเนินแห่งนี้
หลีซูซูรีบร้องบอกชุนเถาที่อยู่ข้างหลัง “เจ้าอย่าเข้ามา”
ชุนเถาไม่เข้าใจ ทว่าก็ผงกศีรษะอย่างเชื่อฟัง
หลีซูซูหาก้อนหินมาหลายก้อน วางตั้งเป็นข่ายอาคมส่งวิญญาณข้างบ่อน้ำ หวังว่าจะช่วยสลายไอแค้นให้ดวงวิญญาณเหล่านั้น และส่งพวกเขาไปเกิดใหม่เร็วขึ้นหน่อย
นางไม่มีพลังวิเศษ สิ่งที่ทำได้มีเพียงเท่านี้
ชุนเถารู้สึกว่าทั่วทุกหนแห่งล้วนอึมครึมน่ากลัว นางยากจะคิดภาพว่าองค์ชายจื้อจื่อเติบโตขึ้นมาในสถานที่เช่นนี้ได้อย่างไร
ชุนเถายิ่งกลัว ยิ่งอดมองไปรอบด้านมิได้ ก่อนจะพูดเสียงสั่นๆ ว่า “คุณหนู ห้องนั้นดูเหมือนจะมีเสียง?”
หลีซูซูหันกลับไปมอง และเดินตรงไปยังห้องห้องนั้นทันที
“คุณหนู…”
“ไม่มีอะไรหรอก”
หลีซูซูผลักประตูเข้าไป ฝุ่นผงด้านบนร่วงกราวลงมา ภายในห้องเต็มไปด้วยใยแมงมุม นางสำลักจนไอออกมาหลายที
หญิงสูงวัยผู้หนึ่งนั่งยองอยู่ตรงมุมห้อง แววตาว่างเปล่า กอดตนเองโยกตัวไปมา
หลีซูซูตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าที่นี่ยังมีคนอยู่ ยามที่นางเดินเข้าไปนั้นหญิงสูงวัยไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
หลีซูซูได้กลิ่นเหม็นบูดระลอกหนึ่ง เป็นกลิ่นที่แผ่มาจากตัวของหญิงสูงวัยผู้นี้ “ท่านยาย ไฉนท่านจึงมาอยู่ที่นี่เล่า”
หญิงสูงวัยไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย ราวกับไม่ได้ยิน
ชุนเถาเห็นว่าเป็นคนที่มีชีวิตก็โล่งอก พูดอย่างไม่แน่ใจ “คุณหนู บ่าวได้ยินมาว่าตอนองค์ชายจื้อจื่อถูกแคว้นโจวส่งมาเป็นตัวประกัน อายุแค่หกขวบเท่านั้น ข้างกายมีแม่นมผู้หนึ่งติดตามมาดูแลด้วย”
ทว่าแม่นมขององค์ชายน้อยผู้หนึ่ง ตอนมาอย่างมากก็อายุยี่สิบกว่าปีเท่านั้น บัดนี้เวลาผ่านไปเพียงสิบสี่ปี ไฉนจึงเปลี่ยนไปจนมีสภาพเช่นนี้ เหมือนยายเฒ่าอายุหกสิบก็มิปาน ทั้งยังเสียสติ
หลีซูซูตะลึงไปครู่หนึ่ง นี่คือแม่นมของถานไถจิ้นหรือ
ในอีกห้าร้อยปีให้หลัง นางอยู่ในโลกที่วุ่นวายโกลาหล เคยพบเจอคนแก่ที่น่าสงสารเช่นนี้เหมือนกัน ทว่าโลกนี้ยังไม่มีจอมมารชัดๆ ไฉนจึงมีคนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้
เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกรางๆ ว่าตนเองยังคงอยู่ในโลกอันวุ่นวายปั่นป่วนก่อนหน้านี้
หลีซูซูมิได้เอ่ยอะไร นางดึงใยแมงมุมบนศีรษะของหญิงสูงวัยออกอย่างเอาใจใส่
ชุนเถาพูดอย่างไม่สบายใจ “คุณหนู…”
“พวกเราออกไปกันเถอะ”
ตามหลักแล้ว คนที่เข้าใจถานไถจิ้นมากที่สุด น่าจะเป็นหญิงสูงวัยผู้นี้ แต่นางไม่มีสติแล้ว
หลีซูซูนั่งอยู่ในเกี้ยว มิได้รีบร้อนกลับไป นางเรียกนางกำนัลในวังผู้หนึ่งมา “ช่วยตามหมัวมัวที่ดูแลวังเย็นมาพบข้าได้หรือไม่”
เวลาที่ดวงตะวันแขวนตัวสูง หมัวมัวในชุดสีม่วงผู้หนึ่งย่ำหิมะที่ทับถมเป็นชั้นหนา เดินมาคารวะหลีซูซู
หลีซูซูเอ่ยถาม “เหตุใดแม่นมของถานไถจิ้นจึงเสียสติ”
นางทำตามวิธีการเดิม มอบปิ่นทองให้หมัวมัวอันหนึ่ง
สิ่งชั่วร้ายพรรค์นั้นจะต้องไม่ละเว้นแม้กระทั่งแม่นมของตนเองแน่ๆ
หมัวมัวเก็บปิ่นทองด้วยความปีติยินดี นางอยู่วังเย็นตักตวงผลประโยชน์ไม่ค่อยได้ หลีซูซูใจป้ำเช่นนี้ หมัวมัวแทบอยากจะคายทุกสิ่งที่รู้ออกมาให้หมดในคราวเดียว ถึงอย่างไรเรื่องของถานไถจิ้นก็มิใช่ความลับอะไรอยู่แล้ว “ขอบพระคุณคุณหนูเยี่ยที่ตกรางวัล เรื่องนี้บ่าวเฒ่าพอรู้อยู่บ้างจริงๆ จื้อจื่อกับหลิวซื่อ* ผู้นั้นมาอยู่วังเย็นเมื่อสิบสี่ปีก่อน จื้อจื่อในตอนนั้นรูปงามน่ารัก วังเย็นเป็นสถานที่สกปรก องครักษ์และขันทีไม่น้อยในวังล้วนมีความนิยมชมชอบเช่นนั้น…”
ใบหน้าของชุนเถาแดงก่ำก่อนจะขาวซีด
“หลิวซื่อปกป้องจื้อจื่อ ตนเองกลับต้องรับเคราะห์ พวกเขาอยู่ในวังหลวงเดิมไม่มีฐานะอันใดอยู่แล้ว บ่าวเฒ่าได้ยินมาว่าเวลาพวกเขาไม่มีอะไรกิน ฤดูหนาวไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ หลิวซื่อก็จะ…”
“พอที” ชุนเถาอดพูดขึ้นมิได้ เรื่องพวกนี้นางฟังแล้วยังอกสั่นขวัญผวา แล้วจะให้คุณหนูรับฟังได้อย่างไร
“ให้นางพูด เล่าเรื่องของถานไถจิ้นเถอะ”
“คุณหนูเยี่ย เรื่องเกี่ยวกับองค์ชายจื้อจื่อ บ่าวเฒ่าเองก็รู้ไม่มาก สมัยเป็นเด็กบรรดาองค์ชายชอบเล่นสนุก มักเรียกจื้อจื่อไปเล่นเป็นเพื่อน บางครั้งบ่าวเฒ่าเห็นว่าบนร่างกายของจื้อจื่อไม่เหลือส่วนที่สมบูรณ์ดีเลยสักส่วน”
นางเล่าอย่างคลุมเครือ อันที่จริงหลายครั้งหมัวมัวล้วนเคยเห็นว่าพวกเขาดูหมิ่นรังแกจื้อจื่อเหมือนเดรัจฉานตัวหนึ่ง
พูดถึงตรงนี้ หมัวมัวก็หยุดกะทันหัน นางพลันนึกขึ้นได้ว่าบุคคลตรงหน้าผู้นี้กับคนที่เคยอยู่ในวังเย็นผู้นั้นเป็นอะไรกัน หมัวมัวรู้สึกเก้อกระดากในใจขึ้นมา ไม่รู้ว่าคุณหนูเยี่ยมีความคิดอย่างไรต่อจื้อจื่อ นางจึงเลือกเล่าความจริงบางส่วนที่ไม่รุนแรงนัก น่าจะไม่เป็นอะไรกระมัง
หลีซูซูเม้มปากแน่น ในใจหนักอึ้ง นางคิดไม่ถึงว่าหลิวซื่อมีสภาพเช่นนี้ มิใช่เพราะถูกถานไถจิ้นทำร้าย
ตรงหน้านางพลันผุดใบหน้างดงามประณีตของเด็กหนุ่ม ยังมีแววเย็นชาหนักอึ้งและความหม่นหมองในดวงตาเขา
มิน่าถูกเฆี่ยนตีหรือลงโทษให้คุกเข่าล้วนไม่ปริปากบ่น เหมือนมนุษย์ตอไม้อย่างไรอย่างนั้น สำหรับเขา บางทีเรื่องพวกนี้อาจเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้วกระมัง
“ถานไถจิ้นออกจากวังแล้ว ใครเป็นคนดูแลหลิวซื่อ”
หมัวมัวรู้จักฟังน้ำเสียงสังเกตสีหน้าเป็นอย่างดี ใคร่ครวญครู่หนึ่ง เห็นคุณหนูสามสกุลเยี่ยดูแล้วมิได้มีเจตนาร้าย จึงพูดความจริง “ว่ากันว่าก่อนจื้อจื่อออกจากวัง ได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้จ้าวหมัวมัวในกองซักล้าง บอกให้นางนำข้าวมาส่งให้หลิวซื่อบ้าง”
ทว่าเงินเล็กน้อยแค่นั้น อย่างมากจ้าวหมัวมัวนึกออกก็โยนหมั่นโถวให้หลิวซื่อลูกหนึ่ง เหมือนให้อาหารสุนัข
หลีซูซูพูดขึ้น “ชุนเถา”
นางรับถุงผ้าจากมือชุนเถา หยิบทองก้อนออกมาหลายก้อน ยื่นให้หมัวมัว “หากหมัวมัวมีเวลา ช่วยดูแลหลิวซื่อที ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง ทำความสะอาดร่างกายหน่อย ทำให้การกินอยู่ของนางดีขึ้นบ้าง ครั้งหน้าหากข้าเข้าวัง เห็นหลิวซื่อมีชีวิตความเป็นอยู่ไม่เลว จะต้องตอบแทนหมัวมัวอย่างงามแน่นอน แต่เรื่องนี้ห้ามบอกคนอื่นเด็ดขาด”
หมัวมัวในชุดม่วงยิ้มจนเห็นแต่ฟันไม่เห็นดวงตา นางรับทองหนักอึ้งไว้ “คุณหนูเยี่ยพูดอะไรกัน คำสั่งของท่าน บ่าวเข้าใจแล้ว”
รอจนหมัวมัวเดินไปไกล ชุนเถาตาเป็นประกาย เอ่ยเสียงค่อยว่า “คุณหนู ท่านเห็นใจองค์ชายจื้อจื่อหรือเจ้าคะ”
หลีซูซูปั้นหน้าขรึม “เหลวไหล ข้าทำอย่างนั้นเรียกว่าเห็นใจถานไถจิ้นหรือ ข้าก็แค่เห็นว่าหลิวซื่อปกป้องเจ้านายอย่างกล้าหาญ ไม่ควรมีจุดจบเช่นนี้เท่านั้น”
ต่อให้สงสารมดตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ก็ยังดีกว่าเห็นใจถานไถจิ้น
ชุนเถาปิดปากยิ้ม
* ไม้ใหญ่ล่อลม อุปมาถึงผู้ที่มีชื่อเสียงหรือโดดเด่นเกินไป ย่อมเป็นที่ริษยาหรือเป็นที่เพ่งเล็งของผู้อื่น
* ไอหยิน (อิน) หมายถึงไอเย็นหรือบรรยากาศเปลี่ยวร้าง ในจีนสมัยโบราณหมายถึงธาตุของสตรี ตรงข้ามกับหยางซึ่งเป็นธาตุของบุรุษ
* หงฮวง เป็นคำเรียกสมัยบรรพกาลก่อนที่โลกจะถือกำเนิด ในช่วงนั้นจะมีเพียงพลังปั่นป่วนกลุ่มหนึ่ง
* ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่าซื่อ (แปลว่านามสกุล) ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุให้ชัดขึ้นก็มี
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 ต.ค. 65 เวลา 12.00 น.