หลีซูซูเพิ่งจะเดินออกไป ชุนเถาก็เข้ามารายงานด้วยสีหน้าว้าวุ่น “คุณหนูสาม แย่แล้วเจ้าค่ะ เกิดเรื่องแล้ว”
ปี้หลิ่วตำหนิทันที “พูดจาดีๆ ลุกลี้ลุกลนเช่นนี้ใช้ได้ที่ใด!”
หลีซูซูขมวดคิ้ว ชำเลืองมองปี้หลิ่วแวบหนึ่ง จากนั้นพูดกับชุนเถาเสียงอ่อนโยน “เจ้าค่อยๆ เล่า”
ชุนเถากลืนน้ำลายอึกหนึ่ง “เมื่อเช้าเหลียนอี๋เหนียงพบว่าในคลังสมบัติมีข้าวของสูญหายไปหลายชิ้น กวนอินหยกของฮูหยินผู้เฒ่าก็หายไป เมื่อตรวจสอบดู ในห้องของตู้อี๋เหนียงก็มีของหาย สินเจ้าสาวที่นางเตรียมไว้ให้คุณหนูรองหายไปกว่าครึ่ง รวมทั้งหยกประดับของคุณชายใหญ่ เงินเบี้ยหวัดของคุณชายสี่ ล้วนหายไปทั้งหมด ตอนนี้เหลียนอี๋เหนียง ตู้อี๋เหนียง ยังมีพวกคุณหนูรอง กำลังสอบสวนคนอยู่ในห้องโถง…”
หลีซูซูบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี “พวกนางสงสัยใคร”
“องค์ชายจื้อจื่อเจ้าค่ะ”
หลีซูซูนิ่วหน้าถาม “เหตุใดจึงสงสัยเขา”
ชุนเถามองหลีซูซูแวบหนึ่งอย่างระมัดระวัง “มีคนค้นเจอต่างหูข้างหนึ่งที่องค์ชายจื้อจื่อแอบเก็บไว้ในยันต์คุ้มครอง…”
ปี้หลิ่วฟังแล้วเอ่ยอย่างขุ่นขึ้ง “จื้อจื่อก่อเรื่องอับอายขายหน้าเช่นนี้ สร้างความอัปยศให้ท่านจริงๆ นะเจ้าคะ”
ชุนเถาอยากพูดอะไร แต่เห็นว่ามีปี้หลิ่วอยู่ สุดท้ายยังคงก้มหน้าลง
หลีซูซูหันไปมองปี้หลิ่ว “บทสรุปของเรื่องราวยังไม่ออกมา อย่าพูดจาส่งเดช”
รีบหุบปากเสียเถอะ หาไม่แล้วนางอาจทนไม่ไหวลงมือกับสาวใช้ผู้นี้ได้
แต่เล็กท่านพ่อสอนให้หลีซูซูมีมารยาท กระจ่างแจ้งในผิดชอบชั่วดี ปี้หลิ่วผู้นี้อ้าปากหุบปากมีแต่คำว่า ‘คนชั้นต่ำ’ กับ ‘คบชู้’ การพูดจาดีๆ เป็นเรื่องยากนักหรือไร
หลีซูซูฟังแล้วครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด ที่น่าโมโหที่สุดคือปี้หลิ่วยังกดขี่ข่มเหงสี่สี่กับชุนเถาทั้งต่อหน้าและลับหลัง
หลีซูซูสงสัยว่าสาวใช้ผู้นี้คอยยุแยงให้เจ้าของร่างเดิมทำเรื่องต่างๆ ไม่น้อยทีเดียว ไปทำลายความสัมพันธ์ของผู้อื่น นี่ใช่เรื่องที่สตรีดีๆ พึงกระทำอย่างนั้นหรือ
แต่ตอนนี้หลีซูซูไม่มีเวลาจัดการปี้หลิ่ว นางพูดกับชุนเถา “พวกเราไปดูที่ห้องโถงกัน”
ชุนเถารีบย่อกายคารวะและนำทาง
ปี้หลิ่วถูกหลีซูซูตักเตือนว่าอย่าพูดจาส่งเดช ได้แต่ยืนอึ้งอยู่กับที่ นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าคุณหนูสามจะตำหนิตน
ตามหลักแล้ว คุณหนูได้ยินว่า ‘จื้อจื่อทำให้นางขายหน้า’ แม้แต่ความคิดอยากฆ่าจื้อจื่อก็ยังมีด้วยซ้ำ ทว่าครั้งนี้คุณหนูสามกลับบอกให้ตนหุบปาก
สีหน้าของปี้หลิ่วบิดเบี้ยวเล็กน้อย พอมองเงาหลังของชุนเถาข้างหน้าก็คิดว่าต้องเป็นเพราะช่วงที่ตนไม่อยู่ นางเด็กชุนเถากับสี่สี่ว่าร้ายอะไรตนให้คุณหนูฟังแน่ๆ
พรุ่งนี้ก็คือวันที่สิบห้า ครั้นคิดอะไรได้ ปี้หลิ่วจึงเข้าใจ มิน่าคุณหนูถึงไม่ได้ก่นด่าจื้อจื่ออย่างรุนแรง เวลานี้จื้อจื่อจะเกิดเรื่องไม่ได้เด็ดขาด
ปี้หลิ่วรีบรุดตามไป
หลีซูซูยังไม่ทันเดินเข้าไปในห้องโถง ก็มีคนรายงานเหลียนอี๋เหนียงทันที “คุณหนูสามกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
พอคำพูดนี้ถูกเอ่ยออกมา ทุกคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ต่างมองไปยังถานไถจิ้นพร้อมกัน
แขนของเด็กหนุ่มถูกจับยึดไว้ เขาเม้มปาก นัยน์ตาดำสนิทมองพื้น แววตาทั้งเยียบเย็นและหนักอึ้ง
หลีซูซูเดินเข้ามา ภาพที่เห็นก็คือภาพนี้
อี๋เหนียงทั้งสาม เหลียนอี๋เหนียงนั่งตรงตำแหน่งประธาน อี๋เหนียงอีกสองคนนั่งอยู่ด้านข้างสองฝั่ง คุณหนูรองเยี่ยหลันอินนั่งติดกับตู้อี๋เหนียงด้วยสีหน้าย่ำแย่ นอกจากพวกเขา คุณชายสี่ที่เด็กที่สุดในจวนก็อยู่ด้วย
คุณชายสี่ปีนี้อายุหกขวบ เนื่องจากอายุยังน้อย เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของแม่ทัพ เขาจึงถูกขุนจนอ้วนกลมเป็นลูกหนัง ซุกตัวอยู่ในอกของอวิ๋นอี๋เหนียงพลางกินขนม
นอกจากเหล่าสาวใช้ ทุกคนล้วนนั่ง มีเพียงถานไถจิ้นที่ยืนอยู่
กลับเป็นเหลียนอี๋เหนียงชิงพูดก่อนว่า “คุณหนูสามกลับมาแล้ว ได้จังหวะพอดี ในจวนเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น คิดว่าท่านคงทราบแล้ว จื้อจื่อเป็นคนของท่าน ข้าอนุภรรยาเองก็ลำบากใจ คิดว่าเรื่องนี้ให้ท่านเป็นคนสอบสวนดีหรือไม่”
นางกล่าวพลางสละที่นั่งประธานให้กับหลีซูซู
เหลียนอี๋เหนียงแม้จะช่วยเหลือฮูหยินผู้เฒ่าจัดการงานกิจภายในจวนเป็นครั้งคราว ทว่านางเป็นเพียงอนุภรรยาผู้หนึ่ง หลีซูซูเป็นบุตรีสายตรงเพียงคนเดียว เมื่อหลีซูซูเข้ามา เหลียนอี๋เหนียงย่อมไม่กล้านั่งบนเก้าอี้ประธานอีก
อี๋เหนียงอีกสองคนรีบลุกขึ้นคารวะหลีซูซู
เยี่ยหลันอินถูกตู้อี๋เหนียงสะกิดหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยทักด้วยสีหน้าย่ำแย่ “น้องหญิงสาม”
หลีซูซูนั่งลงอย่างผ่าเผย บ่าวชายรีบรินน้ำชาให้หลีซูซู
หลีซูซูจิบน้ำชาคำหนึ่งพลางมองไปยังถานไถจิ้นที่ถูกจับตัวไว้