จันทราอัสดง
ทดลองอ่าน จันทราอัสดง เล่ม 3 บทที่ 67-69
บทที่ 67
แสงเทียนไหวระริก ระเบิดดังเปรี๊ยะปร๊ะเบาๆ ชายหนุ่มในชุดสีนิลลืมตาขึ้น
ดวงเนตรกระจ่างใสของหญิงสาวปิดอยู่ ขนตายาวทอดเงาจางๆ ภายใต้แสงไฟอบอุ่น ทั้งที่ยังไม่ถึงฤดูบุปผา อากาศกลับเหมือนมีกลิ่นหอมของดอกเหอฮวนแผ่กระจายอยู่
ถานไถจิ้นคล้ายสัมผัสถูกพิษกะทันหัน ประหนึ่งเพิ่งตื่นจากฝัน
หลีซูซูถูกเขาผลักออกทันใด นางบีบนวดไหล่และช้อนตามองไป
สีหน้าของถานไถจิ้นเปลี่ยนแปรยากคาดเดา เขาตระหนักว่าตนเองทำอะไรลงไป ยามนี้จึงมิอาจกลบเกลื่อนได้อีกแล้ว อีกทั้งเขายังไม่สามารถโต้แย้งได้
หลีซูซูไม่ได้พูดอะไร นางจ้องมองเขาเงียบๆ
เวลาเช่นนี้นางอยากฟังเหลือเกินว่าถานไถจิ้นจะแก้ตัวอย่างไร เขาไร้อารมณ์ความรู้สึกมาแต่กำเนิด บางทีแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความหวั่นไหวเมื่อครู่นี้หมายความว่าอะไร
ดังคาด หลีซูซูราวกับเห็นไอน้ำแข็งเย็นเยือกแผ่ออกมาจากในดวงตาของถานไถจิ้นอย่างรวดเร็ว
เขาพูดเสียงเย็นว่า “เจ้ายั่วยวนเรา”
“…” หลีซูซูพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ นางยังไม่เคยเห็นคนที่ปัดความผิดให้ผู้อื่นได้อย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้มาก่อน
“ข้าให้โอกาสเจ้าเลือกแล้ว” หลีซูซูพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ถานไถจิ้น เจ้าโรคประสาทกำเริบหรือไร”
ถานไถจิ้นหลุบตาลง ลูบริมฝีปากตนเอง อาจเพราะความรู้สึกที่หลงเหลืออยู่บนนั้นทำให้เขาไม่สบายใจ เขาจึงลดมือลงกลบเกลื่อนอาการอย่างรวดเร็ว
“เราไม่มีความรู้สึกอะไรทั้งนั้น ลูกไม้พวกนี้ของเจ้าใช้ไม่ได้ผลแม้แต่น้อย เราไม่มีทางให้เจ้าไปพบท่านย่าของเจ้า และไม่มีทางปล่อยเจ้าออกไป เจ้าถอดใจเสียเถอะ” ไม่รู้ว่าเขาพูดมากมายเช่นนี้ให้นางฟังหรือพูดให้ตนเองฟังกันแน่
หลีซูซูมองเขาด้วยสีหน้านิ่งเฉย ก่อนจะยกขาหมายจะลงจากเตียง
ชอบเล่นละครถึงเพียงนี้ เจ้าเล่นไปผู้เดียวให้พอใจแล้วกัน
“หยุดนะ!” เขาพูดขึ้นทันที “เจ้าจะไปที่ใด”
หลีซูซูตอบ “ในเมื่อลูกไม้พวกนี้ของข้าล้วนไม่ได้ผล ข้าก็จะไม่เสียเวลาอีก ปล่อย ข้าจะไปนอน เจ้าไม่นอนแต่ข้าจะนอน”
หลีซูซูกลับไปนอนบนตั่งเล็กของตนเองพลางหลับตาลง ไม่นานนางก็ได้ยินเสียงสวบสาบจากบนเตียง
โกวอวี้พูดขึ้นว่า “ถานไถจิ้นมา”
ตั่งเล็กของนางอยู่ห่างจากเตียงมังกรไม่ไกล ถานไถจิ้นไม่รู้เป็นบ้าอะไร จวบจนบัดนี้ยังไม่จัดหาที่พักเป็นเรื่องเป็นราวให้นาง คนอื่นไม่กล้ายุ่งเรื่องของถานไถจิ้นอยู่แล้ว จนถึงตอนนี้หลีซูซูจึงได้แต่พักอยู่ในตำหนักของเขา
โกวอวี้รายงานต่อ “เขากำลังมองท่านอยู่”
หลีซูซูย่อมรู้อยู่แล้ว เขาอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ สายตาเหมือนใยแมงมุมที่เหนียวเหนอะ ชวนให้คนอึดอัดไปทั้งตัว นางมิใช่ว่าจะหลับลงจริงๆ สักหน่อย ย่อมต้องรู้สึกได้
เขาเข้ามาใกล้ แต่กลับไม่พูดจา
สถานการณ์พลันเงียบงัน
สำหรับหลีซูซู สายตาที่ทำให้คนหายใจไม่ออกเช่นนี้ ยากจะรับไหวจริงๆ นางแกล้งนอนจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจึงลืมตาขึ้น “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีนิลนั่งลงเฉียงๆ บนขอบตั่งของนาง การลืมตาของนางทำให้เขาวางตัวไม่ถูกอยู่บ้าง ก่อนจะเบนสายตาออกไปทันที
ใบหน้าด้านข้างอันคมคายของชายหนุ่มดูประณีตงดงามเป็นพิเศษภายใต้แสงจากโคมแก้วหลิวหลี ผิวของเขาขาวมาก ริมฝีปากบางแดงเป็นพิเศษ
บุรุษผู้หนึ่งงดงามถึงขั้นนี้ ช่างไม่ง่ายเลยจริงๆ
เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจ “เรายอมรับว่ามิใช่จะไม่ได้ผลเสียทีเดียว เราไม่ได้รังเกียจเจ้าถึงเพียงนั้น”
หลีซูซูนอนหนุนท่อนแขนอ่อนนุ่มของตนเอง หาวพลางมองเขา
ดวงตานางทอประกายน้ำบางๆ ชั้นหนึ่ง เขาเหลือบมองนางด้วยหางตา เอ่ยด้วยน้ำเสียงใจกว้างว่า “เจ้าบอกเรามา เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่”
ถานไถจิ้นเหมือนพ่อค้าตระหนี่ที่ระวังตัวแจผู้หนึ่ง เขามองดูหลีซูซูอย่างหวาดระแวงและคาดหวัง
ราวกับในมือนางมีสิ่งที่เขาปรารถนามากเป็นพิเศษ แต่ของสิ่งนี้สามารถนำพาหายนะมาสู่เขาอย่างง่ายดาย ทางหนึ่งเขาหวาดกลัวกับผลลัพธ์อันเลวร้ายที่หลีซูซูอาจจะนำมาให้ อีกทางหนึ่งกลับอยากเข้าใกล้นางอย่างมิอาจควบคุม
เขาเฝ้ารอคำตอบด้วยสีหน้าตึงเครียด
หลีซูซูคิดในใจ ข้าต้องการชีวิตเจ้าน่ะสิ
ทว่านางมิอาจพูดเช่นนี้ได้ บุรุษตรงหน้าเป็นนกหวาดเกาทัณฑ์ที่ตระหนี่และเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว ยามที่นางไม่เป็นพิษเป็นภัยกับเขา เขายังคิดถึงภาพเจตนาอันชั่วร้ายของนางได้เป็นร้อยอย่าง ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าหากเขารู้ว่านางมาเพื่อเอาชีวิตสุนัขของเขา!
อย่าเห็นว่าตอนนี้บุรุษผู้นี้มองนางด้วยความปรารถนาแล้วจะได้ใจ ด้วยสันดานชั่วร้ายในกระดูกมารของเขา หากเขารู้ความจริงอาจจะบีบคอนางจนตายในอึดใจต่อไปเลยก็เป็นได้
ดังนั้นหลีซูซูจึงกะพริบตาปริบๆ เอ่ยว่า “ข้าอยากเป็นฮองเฮา”
สตรีในโลกมนุษย์ล้วนมีความใฝ่ฝันเช่นนี้มิใช่หรือ รวมถึงเยี่ยปิงฉางด้วย
ดังคาด พอได้ฟังเหตุผลของนางแล้ว สีหน้าของถานไถจิ้นเปลี่ยนเป็นเสียดสีเยาะหยันทันตา “เจ้าอยากเป็นฮองเฮา?”
ท่าทางเหยียดหยันที่มากเกินความจำเป็นของเขา ประหนึ่งมองแมวที่กระโดดเข้าไปจับปลาในกองเพลิง
ไม่ว่าจะเป็นแม่นมที่เลี้ยงดูเขามาหรือว่าจิงหลันอัน ล้วนเคยเตือนเขาว่าตำแหน่งนั้นมีความสำคัญมากเพียงใด
สำหรับองค์เหนือหัวผู้ปกครองบ้านเมือง ฮองเฮาถึงขั้นเป็นตัวตัดสินว่ายุคสมัยนั้นแผ่นดินจะสงบมั่นคงหรือไม่
สั่งสมอำนาจทางการเมือง ผูกใจราษฎร หรือแม้กระทั่งสานสัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้น ฮองเฮาล้วนมีบทบาทสำคัญเป็นพิเศษ
ถานไถจิ้นนิสัยเย็นชาอำมหิต ไม่จำเป็นต้องพึ่งฮองเฮาในการกำราบขุนนางในราชสำนัก
ทว่าหากเขาปรารถนาจะครอบครองใต้หล้า ฮองเฮาย่อมมิอาจเป็นชาวแคว้นซย่าได้แน่นอน แคว้นซย่าสิ้นอำนาจแล้ว แต่หากมุ่งไปทางทิศอุดร ย่อมเป็นแคว้นเสินชาที่มีแหล่งน้ำและพืชพรรณอุดมสมบูรณ์ ผู้คนเจนจัดวิชาไสยเวท
ยิ่งไปกว่านั้น หากรออีกไม่กี่ปี สำนักเซียนเปิดกว้าง เขายังสามารถหาฮองเฮาที่มีแก่นวิญญาณ อาศัยนางเดินผ่านเข้าสำนักเซียนได้
ถึงอย่างไรเขาก็เคยเห็นโลกที่กว้างใหญ่กว่า สำหรับคนอื่นๆ ปัวเหร่อฝูเซิงเป็นความรู้สึกที่ยากจะลืมเลือน แต่สำหรับถานไถจิ้น เขาได้เห็นพลังอันแข็งแกร่งของมังกรเซียนหมิงเยี่ย