จันทราอัสดง
ทดลองอ่าน จันทราอัสดง เล่ม 3 บทที่ 67-69
บทที่ 68
ปีศาจเสือกลายร่างเป็นคน แต่ยังคงมีนิสัยเยี่ยงสัตว์ พอเห็นทรราชน้อยตีหน้าเย็นชา ก็อดประสานมือร้องขอชีวิตมิได้
เนี่ยนไป๋อวี่มองคนผู้นี้อย่างไร้วาจา รู้ว่าเป็น ‘คนกันเอง’ ย่อมไม่ลากเขาออกไปถลกหนังฆ่าทิ้งอีก
ปีศาจเสือเห็นว่าไม่มีใครเอาชีวิตเขาแล้ว จึงรีบใช้ทั้งมือและเท้าเผ่นหนีไป
เขาอาภัพยิ่งนัก สมัยที่ติดตามถานไถหมิงหล่างยังเป็นขุนพลพยัคฆ์ที่น่าเกรงขาม แต่เมื่อมาติดตามถานไถจิ้น กลับไม่หลงเหลือศักดิ์ศรี ได้แต่เลียแข้งเลียขาประจบเจ้านาย
หลีซูซูโยนชามกับช้อนทิ้ง เดินจากไปโดยไม่มองถานไถจิ้น
ตั้งแต่นางบอกว่าต้องการตำแหน่งฮองเฮา อารมณ์ในดวงตาถานไถจิ้นก็เปลี่ยนแปรไปมาตลอด ประเดี๋ยวเหยียดหยันดูแคลน ประเดี๋ยวขัดแย้งเย็นชา
โกวอวี้พูดขึ้นว่า “เขาเป็นพญามาร พญามารชื่นชอบอำนาจและตำแหน่งมาแต่กำเนิด ท่านยังจำพญามารอีกตนที่ถูกบันทึกอยู่ในตำราบรรพกาลได้หรือไม่ คนผู้นั้นไม่มีแม้กระทั่งภรรยาด้วยซ้ำ แม้แต่คนงามอันดับหนึ่งของพิภพเทพในตอนนั้นยังถูกเขาทรมานแทบตายทั้งเป็น ดังนั้นถานไถจิ้นไม่มีทางมอบตำแหน่งฮองเฮาให้ท่านหรอก”
การแสวงหาอำนาจเป็นสัญชาตญาณของพญามาร
ถานไถจิ้นเองก็เข้าใจดีว่าหากเขายอมรับว่าตนเองชอบหลีซูซูจริง ย่อมต้องหยุดชะงักอยู่กับที่อย่างมิต้องสงสัย
…หากเขาสมรสเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นเสินชา เช่นนั้นการช่วงชิงแดนเหนือ ศึกษาวิชาไสยเวทโบราณ ย่อมเป็นเรื่องช้าเร็วเท่านั้น
…หากสองสามปีนี้เขาให้นักพรตเฒ่าหาต้นกล้าที่มีแก่นวิญญาณ แต่งนางเป็นภรรยาเสีย วันหน้าเมื่อสำนักเซียนเปิดประตู บางทีเขาอาจได้เรียนรู้วิถีเซียน
เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร จวบจนบัดนี้ถานไถจิ้นยังคงคิดว่าตนเองเป็นตัวประกันอ่อนแออายุสั้นที่มิอาจฝึกยุทธ์ได้
แล้วหลีซูซูเล่า สามารถมอบสิ่งใดให้เขาได้บ้าง
เวลานี้โกวอวี้เข้าใจความคิดของถานไถจิ้นเป็นอย่างดี หากเลือกหลีซูซูจริง สำหรับเขาแล้วก็คือการเด็ดปีกตนเอง
หลีซูซูเอ่ย “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ให้”
“เจ้านายน้อย ท่านรู้?”
“ใช่ ข้าเองก็ไม่ได้อยากได้ตำแหน่งฮองเฮาอะไรนั่น” หลีซูซูว่า “ข้าจงใจพูดเช่นนี้มีข้อดีสองอย่าง ถานไถจิ้นเอาแต่คิดว่าทุกคนในโลกอยากจะทำร้ายเขา ข้าบอกว่าต้องการตำแหน่งฮองเฮา กลับเป็นการทำให้เขาสบายใจ ขอเพียงจิตใจเขาหวั่นไหวสักเล็กน้อย พวกเราก็บรรลุเป้าหมายแล้ว อีกอย่างคือ ข้าอยากดูว่าเยี่ยปิงฉางคิดจะทำสิ่งใดกันแน่”
พี่สาวคนโตของเจ้าของร่างเดิมผู้นี้ลึกลับเกินไป แม้แต่พญามารหนุ่มยังทะนุถนอมนางยิ่งนัก นางต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ
หลายวันต่อมาถานไถจิ้นยังคงอารมณ์แปรปรวนไม่แน่นอน หลีซูซูจึงมิได้สนใจเขาอีก
กลับเป็นปีศาจเสือที่หลังจากกลายร่างเป็นมนุษย์แล้วหายตัวไป
อยู่มาวันหนึ่ง เนี่ยนมู่หนิงมองหลีซูซูด้วยสายตาประหลาดและเอ่ยว่า “ปีศาจเสือถูกฝ่าบาทโยนเข้าไปในธงกลืนวิญญาณแล้ว”
ฝ่าบาทบอกว่าให้ปีศาจเสือฝึกวิชากับนักพรตเฒ่า ตอนนี้เจ้าเสือร้องไห้ฟูมฟายอยู่ในธงกลืนวิญญาณทุกวัน
หลีซูซูรู้สึกเห็นใจมันมากทีเดียว
ต้นเดือนสี่ ราษฎรในแคว้นโจวฉลองเทศกาลบุปผา*
ในวังก็มีงานเลี้ยงเช่นกัน มีการแขวนโคมผูกสายรุ้งทั่วทุกแห่งหน ต้าโจวที่ชื่นชอบความฟุ้งเฟ้อและเสียงสังคีต เมื่อถึงเทศกาลบุปผา บรรยากาศก็คึกคักชื่นมื่นยิ่งนัก
ประเพณีของแคว้นโจวเดิมทีเปิดกว้างอยู่แล้ว วันนี้จึงเป็นวันที่หนุ่มสาวให้สัญญารักกันด้วย ย้อนกลับไปพันปีก่อน บุรุษจะร้องเพลงให้สตรีฟัง สองคนเพียงสบตากัน ก็สามารถกลิ้งไปในทุ่งหญ้าด้วยกันแล้ว
โกวอวี้วิจารณ์เหมือนผู้คงแก่เรียน “แคว้นโจวช่างไม่มีจารีตธรรมเนียม ทำตัวเสื่อมเสียจริงๆ”
ยามโพล้เพล้ หลีซูซูได้ยินนางกำนัลหลายคนพูดคุยหัวเราะกันดังเจี๊ยวจ๊าว…
“ได้ยินว่าฟูเหรินทำหยกวารีด้วยตนเอง พอหยกวารีแยกออก สองชิ้นแทบจะเหมือนกันทุกประการ”
“ฝ่าบาทได้รับแล้วจะต้องดีพระทัยมากแน่ๆ”
หยกวารีเป็นหินหยกพิเศษชนิดหนึ่งของแคว้นโจว ต้องผ่านการหลอมเหมือนเครื่องเคลือบดินเผา เลี้ยงหยกอย่างพิถีพิถันแล้ววางลงในน้ำ หยกจะแยกออกจากกันเป็นสองชิ้น
ยิ่งประณีต หยกสองชิ้นก็จะยิ่งมีความสมมาตร หยกวารีที่เลี้ยงออกมาสีสันยิ่งงดงาม ยิ่งแสดงถึงความตั้งอกตั้งใจ
โกวอวี้ออกอุบายให้หลีซูซู “ท่านลองทำหยกวารีให้ถานไถจิ้นสักชิ้นดีหรือไม่”
เห็นเยี่ยปิงฉางอ่อนโยนดุจสายน้ำ มีความเป็นศรีภรรยาและมารดาผู้อารีเต็มสิบส่วน แต่เจ้านายน้อยของมันจิตใจกลับนิ่งดุจน้ำตาย สงบประหนึ่งกำลังบำเพ็ญเพียรก็มิปาน โกวอวี้จึงลอบร้อนใจอยู่บ้าง
หลังจากจี้เจ๋อแตกดับไป ผนึกของเหวร้างก็เหลือเวลาอีกปีกว่าเท่านั้นก่อนจะพังทลาย
เวลาหนึ่งปีสำหรับชีวิตของเซียน แค่ชั่วกะพริบตาเท่านั้น ทว่าหยาดน้ำตาดับวิญญาณกลับยังคงเห็นเพียงรูปร่างของตะปู
หัวใจของพญามารหนุ่มนั้นเย็นเยือก รอยยิ้ม ความโกรธและความโมโหของเขา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการเลียนแบบอารมณ์ของผู้อื่น
โกวอวี้กังวลว่าภารกิจจะล้มเหลว
หลีซูซูส่ายหน้า “การทำดีกับเขาอย่างเดียวไม่มีประโยชน์ เจ้าดูจิงหลันอันสิ”
“เช่นนั้นต้องทำอย่างไร”
หลีซูซูยิ้มตอบ “พวกเราลองหนีกันดีกว่า โกวอวี้ พวกเราไม่ได้เหาะเหินนานเพียงใดแล้ว”
ตอนแรกโกวอวี้ยังไม่เข้าใจความหมายของหลีซูซู จนกระทั่งเห็นนางหยิบว่าวกระดาษตัวใหญ่ออกมา มันจึงรู้ว่าหลีซูซูคิดจะทำสิ่งใด
ดวงจันทร์ในฤดูวสันต์ประหนึ่งดาบที่ทอประกายเจิดจ้า หลีซูซูแบกว่าวกระดาษปีนขึ้นไปบนหอพยากรณ์ดารา เกาะอยู่บนนั้นและเหินบินออกไป
ใต้ฝ่าเท้านางเป็นโลกมนุษย์ โคมไฟนับไม่ถ้วนส่องแสง แคว้นโจวเจริญรุ่งเรือง บรรยากาศรื่นเริงแผ่อยู่ทั่วทุกแห่งหน สายลมพัดชายกระโปรงนาง นางอาศัยยันต์วายุ โบยบินออกจากประตูวัง
บินออกไปไกล นางจึงเห็นเนี่ยนมู่หนิงทำหน้าตื่นตระหนก ยืนอยู่กับที่อย่างทำอะไรไม่ถูก อีกฝ่ายไม่กล้าทำร้ายหลีซูซูจริงๆ จึงวิ่งไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยงในวัง
หลีซูซูเท้าคางมองความงดงามในโลกมนุษย์ โลกอันกว้างใหญ่นี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นกว่าบรรพตเซียนมากนัก
หลีซูซูเลือกร่อนลงบนถนนเส้นที่คึกคักจอแจที่สุด นางซื้อหน้ากากมาหนึ่งอัน สวมลงบนหน้าตนเอง “เจ้าว่าเมื่อใดเขาจึงจะไล่ตามออกมาอย่างฉุนเฉียว”
หญิงสาวเอามือไพล่หลัง เร้นกายเข้าไปในฝูงชน