หลีซูซูล้มป่วยครั้งนี้กินเวลาเนิ่นนาน
พลังของบุปผาเหนือพิภพมิอาจนำออกมาใช้ได้ นางกลายเป็นคนธรรมดาโดยสมบูรณ์ ขาดการติดต่อจากโกวอวี้ สูญเสียวิชาอาคมที่เปรียบดังปีก สติของนางมึนงงเลอะเลือน มิอาจแยกแยะทิวาราตรี
ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่งจะมีนางกำนัลเข้ามาเช็ดตัวทำความสะอาดร่างกายให้นางและป้อนยา
ช้อนยื่นเข้ามา นางกลืนมันลงไปโดยไม่รู้ตัว
ปณิธานอันแข็งแกร่งทำให้นางพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไป กระนั้นด้วยผลสะท้อนจากบุปผาเหนือพิภพ ทำให้ร่างกายนางเริ่มแย่ลง
นางกินอาหารไม่ลง กระเพาะที่ว่างเปล่าปวดแสบไปหมด
นางกำนัลคิดว่านางเลือกกิน จึงปรายตามองนางอย่างเย็นชา “ยังคิดว่าตนเองเป็นว่าที่ฮองเฮาหรือไรกัน อดอาหารแล้วจะเรียกร้องความสงสารจากฝ่าบาทได้อย่างนั้นหรือ ข้าขอเตือนให้เจ้าสำรวมหน่อยเถอะ ฝ่าบาทบอกแล้วว่าหากไม่อยากกินก็ปล่อยให้หิวตาย”
จากนั้นนางกำนัลก็ถือกล่องอาหารเดินจากไป
ไม่มีใครฟังหลีซูซูอธิบาย และไม่มีใครรักษาโรคให้นาง
วันแล้ววันเล่า หลีซูซูมีสภาพอิดโรยมากขึ้นทุกที บางครั้งยามที่นางมีสติ เมื่อเห็นแสงสว่างส่องเข้ามา จะสลักคำว่า ‘เจิ้ง’* ลงไปทีละขีด จนกระทั่งมีอักษร ‘เจิ้ง’ ครบหกตัว
นางจึงตระหนักอย่างพร่าเลือนว่านางถูกถานไถจิ้นกักขังไว้อย่างน้อยก็หนึ่งเดือนแล้ว
โลกมนุษย์ย่างเข้าเดือนเจ็ด
ด้วยทนความหวาดกลัวของการไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ทุกสิ่งมืดมิดไปหมดเช่นนี้ไม่ไหว บางครั้งหลีซูซูจะเคาะประตูห้องลับพลางแผดเสียง “ปล่อยข้าออกไป ปล่อยข้าออกไป…”
นางถือกำเนิดในสระสวรรค์ที่มีแสงสว่างเจิดจ้า ความมืดแคบที่นางไม่เคยหวาดกลัวและความทรมานที่ได้รับจากบุปผาเหนือพิภพทำให้นางหนาวสะท้าน วัตถุเทพที่ฝังอยู่ในร่างกายนางค่อยๆ กัดกร่อนจิตใจ ทำให้นางฝันร้ายตลอดทั้งวัน
เหมือนเช่นถานไถจิ้นตอนครอบครองบุปผาเหนือพิภพ ตกอยู่ในห้วงของฝันร้าย ยากจะตื่นขึ้นมา
นิสัยดั้งเดิมของนางรักอิสรเสรีมาแต่กำเนิด การถูกกักขังในที่มืดแคบโดยมองไม่เห็นความหวังเช่นนี้กร่อนทำลายปณิธานของนางไปทีละวัน
แต่นางไม่อยากตาย นางยังคงอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป การสั่นคลอนของจิตบำเพ็ญไม่เพียงพอที่จะทำลายคนผู้หนึ่ง ทุกครั้งที่ตื่นจากห้วงฝันร้ายของบุปผาเหนือพิภพ นางจะใช้ปณิธานทั้งหมดที่มี เฝ้ารอแสงสว่างที่จะสาดส่องเข้ามาเพียงครู่หนึ่ง
แสงสว่างที่จะช่วยให้นางรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
ถานไถจิ้นไม่ได้มาหานางแม้แต่ครั้งเดียว ราวกับลืมไปแล้วว่าบนโลกนี้ยังมีหญิงสาวผู้หนึ่งที่เขารู้สึกว่า ‘ยามรักอยากให้อยู่ ยามชังอยากให้ตาย’
หลีซูซูทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ชัดเจน
วันหนึ่งนางตื่นมา พบว่าดวงตาข้างขวามองเห็นไม่ชัดเสียแล้ว
นางกำนัลยื่นน้ำมาให้ หลีซูซูควานมือไปรับ แต่ชามใบนั้นกลับตกแตก
“เจ้า!” ตอนแรกนางกำนัลบันดาลโทสะ ครั้นเห็นดวงตาไร้ประกายของนาง จึงเอ่ยอย่างลนลานว่า “เจ้า…เจ้ามองไม่เห็นหรือ”
หลีซูซูเม้มปาก ไม่เอ่ยตอบอะไร
นางกำนัลวิ่งตาลีตาเหลือกออกไป แม้แต่เศษกระเบื้องจากชามที่แตกยังไม่ทันได้เก็บกวาดด้วยซ้ำ
หลีซูซูเบิกตาโต เบื้องหน้ามืดมิด นางกลับไม่กล้านอนลง
เมื่อจิตบำเพ็ญมีรอยร้าว นางมีสิ่งที่หวาดกลัวแล้ว บุปผาเหนือพิภพย่อมเริ่มทำงาน ในช่วงเวลาอันยาวนานนี้ ทุกครั้งที่หลับไป นางมักกลัวว่าจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีก
นางกอดตนเองแน่น คิดในใจว่าอันที่จริงนางยังมีโอกาสครั้งสุดท้าย
อยู่ หรือว่าตาย
* ชาวจีนเชื่อว่าเผิงไหลเป็นชื่อของภูเขาที่ตั้งอยู่ในแดนเซียน
* ฮุ่นตุ้นเป็นคำเรียกสภาวะปั่นป่วนยุ่งเหยิงที่อากาศ รูป และธาตุต่างๆ ปะปนกัน ตำนานการสร้างโลกของจีนเชื่อว่าจักรวาลอยู่ในภาวะฮุ่นตุ้น ก่อนที่เทพผานกู่จะใช้ขวานแยกฟ้าดินออกจากกัน นอกจากนี้ในทางปรัชญา ฮุ่นตุ้นยังหมายถึงภาวะว่างเปล่าได้ด้วย
* ท่อนไม้กลายเป็นเรือ หมายถึงเรื่องราวได้ดำเนินมาถึงขั้นที่ไม่อาจแก้ไขหรือกอบกู้กลับคืนจึงต้องปล่อยให้เลยตามเลย
*ชาวจีนมีวิธีขีดจดจำนวนโดยเขียนตามลำดับขีดของอักษรเจิ้ง (正) ซึ่งมีห้าขีดเพื่อง่ายต่อการนับ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.