With Love
ทดลองอ่าน จุดจอดหัวใจปักหมุดไว้ที่เธอ บทที่ 1-2
บทที่ 1
เมืองเจียงเฉิง ฤดูใบไม้ร่วง
สายลมพัดหมู่เมฆหนาทึบที่บดบังดวงจันทร์บนท้องฟ้ายามราตรีให้กระจายออก แสงสว่างที่สาดส่องลงบนพื้นจึงสว่างขึ้นเล็กน้อย ต้นข้าวในทุ่งนาสะท้อนแสงสีทองเข้ม คลื่นต้นข้าวกระเพื่อมไหวตามสายลม
นี่คือทุ่งนาในเขตชานเมืองก่อนช่วงรุ่งสาง เงียบสงบราวกับพืชพันธุ์ต่างหลับสนิทก็มิปาน
ถนนลาดยางมะตอยเก่าๆ ที่เชื่อมต่อกับคันนามีแสงสว่างไปข้างหน้าตลอดทาง ถูกเส้นสีเหลืองเส้นหนึ่งตัดขาด อีกด้านหนึ่งคือทางวิ่งเครื่องบินอันกว้างใหญ่
สนามบินตรงจุดนี้แตกต่างจากทุ่งนาอย่างสิ้นเชิง ที่นี่แสงไฟกำลังสว่างไสว เจ้าหน้าที่ยุ่งอยู่กับงาน เครื่องบินโบอิ้ง 737 ลำหนึ่งลงจอดอย่างราบรื่น รถรับส่งผู้โดยสารสิบกว่าคันเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเป็นระเบียบ
หร่วนซือเสียนลากกระเป๋าเดินทางพลางก้าวเดินฉับๆ มุ่งไปยังห้องประชุมของแผนกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสายการบินเหิงซื่อราวกับใต้เท้าเกิดลม** หน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กผุดซึม
เมื่อเข้ามาในลิฟต์เธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลา เที่ยงสี่สิบเอ็ดนาที ไม่ถึงห้านาทีจะได้เวลาประชุมความร่วมมือก่อนเที่ยวบินนี้แล้ว
พอประตูลิฟต์เปิดออก หร่วนซือเสียนเดินผ่านห้องโถงใหญ่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน ก่อนเลี้ยวไปทางระเบียงทางเดินของห้องประชุม
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหลายคนในเครื่องแบบสีฟ้าอ่อนเช่นเดียวกับเธอยืนอยู่หน้าประตูห้องประชุม B32 กำลังรวมกลุ่มคุยเล่นกัน
“หร่วนซือเสียน ทำไมเธอเพิ่งมา”
เจียงจื่อเยวี่ยที่อยู่ในกลุ่มคนหันหน้ามาถาม
หร่วนซือเสียนมาทันเวลา จึงผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก “ตอนออกจากบ้านเกิดเรื่องนิดหน่อยน่ะค่ะ”
เจียงจื่อเยวี่ยเป็นหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจึงจำเป็นต้องเตือนหร่วนซือเสียนสักหน่อย “ครั้งหน้าระวังด้วย อย่างอื่นช่างมันเถอะ เธอรู้ดีว่าเที่ยวบินของวันนี้สำคัญมาก”
หร่วนซือเสียนพยักหน้าตอบรับ
เที่ยวบินของวันนี้บินตรงจากเมืองเจียงเฉิงไปลอนดอน เป็นเที่ยวบินหลักระหว่างประเทศของสายการบินเหิงซื่อ
สิ่งสำคัญอยู่ที่ฟู่หมิงอวี่ รองประธานสายการบินเหิงซื่อก็ขึ้นเที่ยวบินนี้ด้วยเช่นกัน
ปกติแล้วส่วนมากฟู่หมิงอวี่มักเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว ไม่ค่อยโดยสารเครื่องบินของสายการบินเหิงซื่อนัก ดังนั้นเจียงจื่อเยวี่ยในฐานะหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจึงกำชับกับกลุ่มลูกเรือของเที่ยวบินนี้ทันทีที่เห็นรายชื่อของผู้โดยสาร
หร่วนซือเสียนหันไปมองในห้องประชุมแวบหนึ่งอีกครั้ง “ข้างในยังไม่ออกมากันเหรอคะ”
“อืม ไม่รู้ว่าเที่ยวบินนี้มัวแต่ชักช้าอะไรอยู่ กัปตันของพวกเราก็ยังอยู่ในห้องน้ำ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปห้องน้ำจัดผ้าพันคอหน่อยนะคะ แล้วก็แต่งหน้าเพิ่ม”
ตอนที่ออกจากหอพักหร่วนซือเสียนกลัวว่าจะสาย ดังนั้นจึงวิ่งเหยาะๆ มาตลอดทาง คอจึงมีเหงื่อออก เหนอะหนะในผ้าพันคอ ทำให้ไม่สบายตัวเท่าไร
หร่วนซือเสียนกล่าวจบก็รีบร้อนไปห้องน้ำ เปิดก๊อกน้ำล้างมือ ใช้นิ้วชี้เปียกน้ำทัดปอยผมสองเส้นที่หลุดออกมาไว้หลังใบหู เธอมองตัวเองในกระจก การแต่งหน้าที่ประณีตงดงาม ผมที่เกล้ามวยอย่างพิถีพิถันเรียบร้อย เครื่องแบบที่สง่างามเข้ารูป ไม่เลว แต่ไม่มีจุดเด่นเลยแม้แต่น้อย
มีเพียงผ้าพันคอบนคอที่เอียงจนคล้ายกระต่ายหูตกเท่านั้นที่ทำให้เธอดูแตกต่างจากพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินคนอื่นๆ
แต่มันเป็นเพียงความแตกต่างในสายตาของเธอ ไม่มีทางที่คนอื่นจะสังเกตเห็น
ตอนนี้เธอต้องแก้ผ้าพันคอที่เอียงได้น่าสนใจอย่างยิ่งนี้ออก จากนั้นก็ผูกให้ตรงอีกครั้ง แต่ขณะที่ลดมือลง หร่วนซือเสียนแตะพบของสิ่งหนึ่งในกระเป๋าเครื่องแบบ เธอหยุดชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อตัวนอกออกหนึ่งเม็ด แล้วยื่นมือไปล้วงของสิ่งนั้นออกมา นั่นเป็นจดหมายฉบับหนึ่ง ด้านบนซองจดหมายสีชมพูใช้ตราประทับครั่งสีแดงปิดผนึกไว้
นี่คือสาเหตุที่ทำให้หร่วนซือเสียนออกจากหอพักสาย
ซือเสี่ยวเจินที่เป็นรูมเมตได้ยินว่าวันนี้ฟู่หมิงอวี่โดยสารเที่ยวบินที่หร่วนซือเสียนบินไปด้วย จึงเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา จากนั้นก็กำชับเธอว่าต้องหาโอกาสมอบให้กับฟู่หมิงอวี่ให้ได้
เมื่อเห็นท่าทางที่ดูไม่ค่อยเต็มใจของหร่วนซือเสียน ซือเสี่ยวเจินก็ทำตาแดงพลางกล่าว ‘พวกเราอ่านหนังสือด้วยกันทุกวัน เตรียมตัวสอบนักบินด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าสัปดาห์หน้าก็ต้องสมัครแล้ว ผลสุดท้ายกลับยกเลิกโครงการโบยบินเสียอย่างนั้น! เธอไม่คิดจะพยายามสู้อีกหน่อยจริงๆ เหรอ’
‘โครงการโบยบิน’ เป็นโครงการรับสมัครนักบินภายในของสายการบินเหิงซื่อ ทุกปีจะคัดเลือกพนักงานภายในของสายการบินเหิงซื่อส่วนหนึ่งแล้วดำเนินการฝึกอบรมนักบิน ไม่จำกัดตำแหน่ง ไม่จำกัดเพศ พอปีนี้กำลังจะถึงช่วงสมัคร ฟู่หมิงอวี่ผู้ดูแลแผนกการบินกลับยกเลิกโครงการนี้ไป
สำหรับคนอื่นอาจเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่ไม่ได้ส่งผลกระทบร้ายแรง แต่สำหรับคนอย่างหร่วนซือเสียนและซือเสี่ยวเจินที่ตั้งใจสมัครโครงการนี้เพื่อเข้าสายการบินเหิงซื่อโดยเฉพาะนับว่าเป็นการโจมตีที่ร้ายแรงถึงชีวิตเลยทีเดียว
หร่วนซือเสียนอ้าปากค้าง ทำท่าเหมือนจะปฏิเสธ ซือเสี่ยวเจินก็พูดขึ้นมาอีก ‘ฉันส่งอีเมลหาเขาหลายฉบับแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ตอนนี้มีแค่วิธีนี้เท่านั้น ฉันรู้ว่าเธอคิดว่าวิธีนี้มันน่าขำมาก แต่ถ้าหาก…ถ้าหากรองประธานฟู่เป็นคนที่เข้าถึงง่ายและใจดี เกิดเขาอ่านจดหมายของฉันแล้วยินดีพิจารณาล่ะ อีกอย่าง…’
หร่วนซือเสียนยกมือขึ้นเพื่อหยุดคำพูดของซือเสี่ยวเจิน จากนั้นก็รับจดหมายฉบับนี้มา
‘ฉันว่าเธอเปลี่ยนซองจดหมายดีไหม ดูแล้วเหมือนฉันกำลังส่งจดหมายรักอย่างนั้นแหละ’
คิดไม่ถึงว่าเรื่องที่ทำให้หร่วนซือเสียนอิดออดกลับเป็นเรื่องนี้ ซือเสี่ยวเจินก้มหน้าลงอย่างเก้อเขิน ‘ก็ใช่ว่าฉันจะชอบสีชมพู แต่ฉันไม่มีซองจดหมายอันอื่นแล้ว’
หร่วนซือเสียนจะพูดอะไรได้ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็มาถึงหน้าห้องประชุมแล้ว เธอไม่มีโอกาสเปลี่ยนซองจดหมายนี้อีก
“เธอกำลังทำอะไรอยู่”
ทันใดนั้นเจียงจื่อเยวี่ยก็ผลักเปิดประตูก่อนยื่นร่างเข้ามาครึ่งหนึ่ง “กัปตันมาแล้ว รีบหน่อย จะเริ่มประชุมแล้ว”
หร่วนซือเสียนรีบเอาจดหมายซ่อนไว้ข้างหลัง พยักหน้าพลางกล่าว “ค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
แต่เจียงจื่อเยวี่ยกลับสังเกตการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ นี้ได้ เธอกวาดตามองอย่างระแวดระวัง “เธอถืออะไรน่ะ”
หร่วนซือเสียนไม่อยากให้เจียงจื่อเยวี่ยเห็นของในมือ ทว่าท่าทางการหลบซ่อนโดยจิตใต้สำนึกเมื่อครู่ชัดเจนเกินไป ทั้งยังมีทีท่าเหมือนที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึงอยู่บ้าง แต่สายตาสืบเสาะของเจียงจื่อเยวี่ยมองมาทางนี้แล้ว หร่วนซือเสียนจึงทำได้เพียงโบกของที่อยู่ในมือช้าๆ
“นี่ค่ะ ไม่มีอะไร”
เมื่อเจียงจื่อเยวี่ยมองเห็นซองจดหมายสีชมพูนั่นชัดเจน ริมฝีปากที่เม้มแน่นก็ผ่อนคลายลง “อะไรก็ไม่รู้ ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบเอาเสียเลย รีบไปเถอะ อย่าชักช้า”
หร่วนซือเสียนยัดจดหมายเข้าไปในกระเป๋าเครื่องแบบ ก่อนจะติดกระดุมเสื้อตัวนอกแล้วเดินไปกับเจียงจื่อเยวี่ย