ผู้คนด้านในพูดเล่นกันอย่างครึกครื้นโดยไม่ได้สังเกตด้านนอกประตูที่ไม่ได้ปิดสนิทเลยว่าใบหน้าของหวังเล่อคัง ผู้จัดการแผนกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแดงก่ำเหมือนกวนกง
คนที่ยืนอยู่ข้างหวังเล่อคังคือฟู่หมิงอวี่ ตัวเอกในหัวข้อสนทนาครั้งนี้
แสงไฟในอาคารสว่างมาก มีเสียงฝีเท้ารีบร้อนก้องสะท้อนระเบียงทางเดินที่ทอดยาวเป็นครั้งคราว สามารถได้ยินอย่างชัดเจน
ทว่าก็ไม่ชัดเจนเท่าเสียงหัวเราะจากในประตูบานนี้
เสียงหัวเราะนี้เหมือนมีดสั้นทะลวงเข้ามาในหูของหวังเล่อคังเป็นระยะๆ เขาแอบชำเลืองมองฟู่หมิงอวี่แวบหนึ่งก็เห็นชายหนุ่มเพียงแต่ก้มหน้าพลิกอ่านเอกสารในมือด้วยแววตาสงบนิ่ง ราวกับไม่ได้ยินบทสนทนาด้านใน
แต่ถ้าไม่ได้ยินจริงๆ ทำไมเขาจะต้องหยุดอยู่ตรงนี้
เสียงในห้องดังขึ้นเรื่อยๆ หวังเล่อคังประหนึ่งมีเข็มแทงที่หลัง แทบอยากจะพุ่งเข้าไปตะโกนหยุดคนข้างใน ทว่าฟู่หมิงอวี่กลับสงบเยือกเย็น เขาไหนเลยจะกล้าเคลื่อนไหวก่อน
ผ่านไปครู่หนึ่งฟู่หมิงอวี่ก็ค่อยๆ ปิดเอกสารในมือแล้วส่งคืนให้หวังเล่อคังในสภาพเดิม หวังเล่อคังยื่นมือออกไปรับ แต่เอกสารกลับหยุดค้างห่างจากมือเขาไปเพียงเล็กน้อย
“นี่เป็นผลลัพธ์การปรับปรุงแก้ไขในช่วงนี้ของคุณเหรอ”
คำพูดเพียงประโยคเดียวทำให้หวังเล่อคังยืดหลังตรงทันที ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
เรื่องนี้พูดแล้วก็น่าตลก สองเดือนก่อนบนเที่ยวบินหลักระหว่างประเทศของสายการบินเหิงซื่อเกิด ‘เรื่องราวดีงามชวนให้คนยกย่องสรรเสริญ’ ขึ้นมา เมื่อแอร์โฮสเตสชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจคนหนึ่งไม่ทันระวัง เผลอทำกาแฟหกใส่ผู้โดยสารระดับวีไอพี
ฐานะของผู้โดยสารท่านนี้ไม่ธรรมดา เขาเป็นลูกชายคนเล็กผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทอุตสาหกรรมเหล็กเจียงเฉิง
เนื่องด้วยอุบัติเหตุจากการให้บริการในครั้งนั้น ทั้งสองไม่ผูกความแค้น แต่กลับผูกสัมพันธ์กันแทน ความรักจึงก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้ผู้คนรู้สึกอิจฉา
หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มักจะมีพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเลียนแบบอยู่เงียบๆ ช่วงเวลานั้นจู่ๆ อัตราการเกิด ‘อุบัติเหตุ’ จากการให้บริการก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ไม่นานนักก็มีถูกผู้ถือหุ้นรายย่อยคนหนึ่งของสายการบินเหิงซื่อรู้เห็นเรื่องนี้เข้า และถือเป็นเรื่องตลก จึงนำไปเล่าให้ฟู่หมิงอวี่ฟัง
เรื่องของชายชอบหญิงรัก* พลังภายนอกไม่อาจขัดขวางได้ แต่การใช้ความได้เปรียบจากการทำงานมาปะปนกับความต้องการส่วนตัว นับเป็นข้อห้ามสำคัญของงานบริการ
ดังนั้นในการประชุมสรุปของแผนกในเดือนนั้น ฟู่หมิงอวี่จึงพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หวังเล่อคังก็รีบเสนอตัวทันทีว่าตนเองจะแก้ไขความวุ่นวายนี้เอง แต่ใครจะคิดว่าตอนที่หวังเล่อคังกำลังรายงานผลอยู่นั้น ‘ความวุ่นวาย’ ที่ว่าก็ถูกฟู่หมิงอวี่พบเข้าอย่างจังเสียแล้ว
“ถ้าพวกเธอไม่อยากทำงานนี้แล้ว สามารถบอกได้ทุกเมื่อ สายการบินเหิงซื่อไม่เคยบังคับให้ใครอยู่”
ฟู่หมิงอวี่ผ่อนแรงที่มือลง ในที่สุดเอกสารก็อยู่ในมือของหวังเล่อคัง
แม้จะเป็นเพียงกระดาษไม่กี่หน้า ทว่ากลับหนักเหมือนเหล็กหนึ่งจิน