สุนัขรับใช้ถูกหนึ่งแส้นี้หวดล้มลงพื้น กุมแขนร้องโอดโอยสารพัด ไหลจวิ้นเฉินหน้าขรึมหันหลังมา เห็นปลายสุดของทางเดินมีสตรีชุดดำนางหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟที่ประเดี๋ยวจ้าประเดี๋ยวหม่น
ไหลจวิ้นเฉินหรี่ตาลงแล้วยิ้มถามทันที “องค์หญิงเซิ่งหยวน? องค์หญิงเป็นเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ ไฉนเสด็จมาสถานที่มืดทึมเช่นนี้เล่าพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เจาเกอย่างเท้าเนิบช้ามาถึงหน้าห้องขัง ก่อนเอ่ยอย่างผ่อนคลาย “ข้าอยากจะมาที่ใด ยังไม่ถึงคราวให้เจ้ายุ่มย่าม เผยซือเหลียนชั่วดีอย่างไรก็เป็นเสนาบดีผู้หนึ่ง ผู้ตรวจการไหลลงทัณฑ์เขาในคุก ได้รับอนุญาตจากกรมอาญาแล้วหรือ”
ไหลจวิ้นเฉินจะได้รับอนุญาตจากกรมอาญาได้อย่างไรกัน เขาจับจ้องหลี่เจาเกออย่างเยียบเย็น รู้ดีว่านางไม่ชอบหน้าเขา ชนชั้นล่างไวต่อความรู้สึกยิ่งกว่าผู้ใด เพียงเห็นแววตานาง เขาก็รู้ได้ทันทีว่านางดูแคลน
ไหลจวิ้นเฉินหัวเราะเสียงเย็นก่อนตอบ “กระหม่อมได้รับพระราชานุญาตเป็นพิเศษเพื่อสืบสาวคดีคิดกบฏ ยามจำเป็นสามารถประหารก่อนค่อยกราบทูลทีหลัง องค์หญิงเซิ่งหยวนน่ะสิ ลมอันใดพัดองค์หญิงมาถึงที่นี่ได้”
“บังเอิญแท้” หลี่เจาเกอหยิบป้ายคำสั่งของกองงานปราบปีศาจออกมาแกว่งตรงทางเดินหนึ่งที ก่อนเอ่ยสั่งคนด้านหลัง “นกฉงหมิงคล้ายเคยปรากฏตัวที่จวนสกุลเผย ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดต้องนำตัวกลับกองงานปราบปีศาจไปสอบสวน จงเปิดประตู นับแต่นี้ไปเผยซือเหลียนกับเผยจี้อันอยู่ในการควบคุมของกองงานปราบปีศาจ”
ไหลจวิ้นเฉินจ้องหลี่เจาเกอตาเขม็ง ยกมุมปากแบบหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม “ที่ผ่านมาองค์หญิงเซิ่งหยวนทรงยืนยันว่านกฉงหมิงอยู่ในวังมิใช่หรือ ไฉนทรงบังเอิญเห็นมันที่จวนสกุลเผยได้เล่า”
“นั่นเป็นเรื่องของข้า” ร่างของหลี่เจาเกอถูกปกคลุมอยู่ใต้เสื้อคลุมกันลม แลดูภูมิฐานสูงศักดิ์ นางปรายมองผู้ว่าการเมืองหลวงเบาๆ ก่อนถาม “ใต้เท้าจาง ยังไม่เปิดประตู?”
ผู้ว่าการเมืองหลวงมองดูหลี่เจาเกอ มองดูไหลจวิ้นเฉิน สุดท้ายไม่กล้าล่วงเกินหลี่เจาเกอ จึงหยิบลูกกุญแจออกมาแต่โดยดี ประตูห้องขังกับโซ่ตรวนของเผยจี้อันถูกไขเปิดอย่างรวดเร็ว ทว่าห้องขังของเผยซือเหลียน…ผู้คุมยังคงหยุดอยู่ด้านนอก ออกอาการตกที่นั่งลำบาก
หลี่เจาเกอยื่นมือปัดฝุ่นผงบนคอเสื้อตนเองพลางเอ่ยราวไม่ตั้งใจ “ผู้ตรวจการไหล หรือเจ้าคิดจะแย่งชิงคนจากกองงานปราบปีศาจ?”
ไหลจวิ้นเฉินมีใบหน้าเขียวคล้ำขณะกัดฟันกล่าว “ทรงทำเช่นนี้ไม่กลัวฝ่าบาทกริ้วหรือไร”
หลี่เจาเกอเพียงหัวเราะเบาๆ ให้คำถามนี้ นางลดมือลง ชักจะหงุดหงิดแล้ว “พาตัวไป”
คนของกองงานปราบปีศาจประสานมือขานรับ รีบเดินขึ้นหน้าไปปลดโซ่ตรวนบนร่างเผยซือเหลียน ท่วงท่าฉับไวกว่าคนของผู้ว่าการเมืองหลวงมาก ครั้นเห็นคนถูกพาออกมาเรียบร้อย หลี่เจาเกอก็ชำเลืองมองไหลจวิ้นเฉินเรียบๆ แล้วกระชับเสื้อคลุมกันลมเดินจากไป
ผู้ว่าการเมืองหลวงถูกทิ้งให้รั้งท้ายจึงประดักประเดิดอยู่บ้าง เขาส่งยิ้มให้ไหลจวิ้นเฉิน ฝืนพูดตามมารยาทสองสามคำ จากนั้นรีบเผ่นหนี ไม่กล้ารั้งอยู่ดูสีหน้าอีกฝ่าย
รอจนออกมาจากคุกนครบาล หลี่เจาเกอสั่งให้คนของนางคุมตัวเผยจี้อันกับเผยซือเหลียนขึ้นรถม้า เผยจี้อันหยุดยืนข้างตัวรถ คล้ายอยากจะพูดบางอย่างกับหลี่เจาเกอ ทว่านางหมุนตัวไปขึ้นขี่ม้าที่อยู่ด้านหน้าเสียแล้ว
เผยจี้อันจึงหุบปากลงเงียบๆ พยุงบิดาขึ้นรถไป
ตลอดทางหลี่เจาเกอไม่พูดจากับสองคนนั้นสักประโยค ครั้นไปถึงกองงานปราบปีศาจ นางก็ก้าวยาวเข้าไปสั่งการในคุกหลวง “จงกวดขันเฝ้าคุม นอกจากส่งอาหาร ห้ามใครพูดจากับพวกเขา ฟ้าดินใหญ่ก็ไม่ใหญ่เท่าคดีของกองงานปราบปีศาจ ไม่ว่าข้างนอกมีใครขอเข้าเยี่ยมจงปฏิเสธทุกกรณี ตราบใดที่สองคนนี้นึกร่องรอยของนกฉงหมิงไม่ออก ตราบนั้นก็ห้ามออกมาจากคุกของพวกเราแม้แต่ก้าวเดียว”
เผยซือเหลียนไม่เคยเห็นนกฉงหมิงเป็นการส่วนตัวเลยจะนึกร่องรอยของมันออกได้อย่างไร กระนั้นเมื่อถูกส่งตัวเข้าห้องขังเขากลับก้าวเข้าไปอย่างสงบ ทั้งยังก้มศีรษะเอ่ยกับหลี่เจาเกอว่า “ขอบพระทัยองค์หญิงเซิ่งหยวนยิ่งนัก”
หลี่เจาเกอมองเขาอย่างเย็นชาปราดเดียวก็หมุนตัวออกเดิน ส่งเผยจี้อันไปเข้าห้องขังอีกห้อง เผยจี้อันเงียบงันมาตลอดทาง ถูกส่งตัวเข้าห้องขังก็ไม่โวยวาย จวบจนตอนที่ลั่นกุญแจประตูค่อยพลันเอ่ยปาก “องค์หญิงเซิ่งหยวน โปรดหยุดก่อน”
การเคลื่อนไหวของคนรอบด้านชะงักวูบ ต่างลอบเงยหน้ามองหลี่เจาเกอ ข้างแก้มนางโอบล้อมด้วยคอเสื้อขนสัตว์ ผ่านไปชั่วครู่นางจึงยกคางส่งสัญญาณแก่คนของนางเรียบๆ