คนทั้งหมดจึงทำความเคารพ ถอยออกไปโดยไร้เสียง เผยจี้อันรอมาตลอดทาง ในที่สุดตอนนี้ก็รอจนได้โอกาสพูดคุยกันเสียที เขาประสานมือคำนับนางอย่างจริงจัง “ขอบคุณยิ่งนัก”
หลี่เจาเกอยืนตอบอยู่ไกลๆ “ไม่เกี่ยวกับเจ้า หากไม่ใช่เห็นแก่หน้ากู้หมิงเค่อ ข้าคงไม่ยุ่งกับเรื่องของบ้านเจ้าหรอก”
เผยจี้อันยิ้มเฝื่อน นั่นสินะ เขาย่อมรู้อยู่เต็มอก เขายืดกายขึ้นเห็นเผยซือเหลียนในห้องขังที่อยู่ไม่ไกลกันมองมาทางนี้ไม่หยุด เขากลัวว่าจะถูกบิดาได้ยินจึงเบาเสียงลงเป็นพิเศษ “ไม่ว่าอย่างไร…คำขอบคุณนี้ก็เป็นคำที่ข้าติดค้างท่าน”
ได้ผ่านชีวิตในคุกมาหนึ่งวันนี้ เขาค่อยตระหนักได้ว่าชาติก่อนนางเคยทำสิ่งใดเพื่อเขาเพื่อสกุลเผย ชาติก่อนการกวาดล้างในคดีคิดกบฏรุนแรงกว่าชาตินี้มาก สกุลเผยก็ยังรอดพ้นมาได้ ควรต้องขอบคุณนางจริงๆ
หลี่เจาเกอฟังแล้วไม่ตอบสนอง หมุนตัวออกเดินทันที เพิ่งย่างเท้าไปได้สองก้าวเสียงแหบพร่าทุ้มต่ำของเผยจี้อันก็แว่วมาทางด้านหลัง “เคราะห์ดี…ชาตินี้ไม่ใช่ท่านแล้ว”
ฝีเท้าของหลี่เจาเกอชะงักนิดๆ ทว่าเพียงพริบตาเดียวก็ก้าวยาวเดินหน้าต่อ ที่จริงในใจฮ่องเต้รู้ทุกสิ่งดี รู้ว่าไหลจวิ้นเฉินเป็นคนถ่อยและรู้ด้วยว่าตระกูลใดบ้างถูกไหลจวิ้นเฉินปรักปรำ ตระกูลใดบ้างคิดคดจริง ทว่าพระองค์ยังคงมอบอำนาจแก่ไหลจวิ้นเฉิน บัลลังก์นี้ได้มาไม่ชอบธรรม ซ้ำพระองค์เป็นสตรีผู้หนึ่ง จำเป็นต้องมีพลังสยบขวัญเต็มที่จึงจะนั่งครองแผ่นดินนี้ได้อย่างมั่นคง
ฮ่องเต้ต้องการดาบหนึ่งเล่มมาช่วยสังหารผู้คุกคาม รอจนกวาดล้างพอสมควรแล้วพระองค์ค่อยกำจัดดาบทิ้ง พระองค์คือราชันผู้ปราดเปรื่องเข้าใจหลักการและรู้จักจำแนกผู้ภักดีผู้คิดคด นับแต่โบราณมาการผลัดเปลี่ยนอำนาจล้วนมีเลือดนองเป็นท้องธาร ขอเพียงพระองค์ปลอบขวัญราษฎรชั้นล่าง ทำให้ราษฎรเลี้ยงปากท้องได้ ส่วนขุนนางจะตายไปกี่มากน้อย สังหารเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์เดิมไปเท่าใด ราษฎรจะใส่ใจหรือ…ไม่มีใครใส่ใจอยู่แล้ว
ไหลจวิ้นเฉินกัดทึ้งตระกูลขุนนางอย่างอุกอาจเพียงนี้ ผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในราชสำนักกลับไม่ขาดไปแม้สักคน ราชสำนักยังคงดำเนินงานอย่างราบรื่นดุจเดิม ที่ประสบภัยร้ายแรงล้วนเป็นบรรดาหน่วยงานซึ่งมีคนตระกูลขุนนางเก่าเกาะกลุ่มทำงานสบายซ้ำซ้อนกัน ชนิดว่าตัดส่วนที่เกินจำเป็นหรือตัดทิ้งทั้งหมดก็ยังไม่มีผลกระทบเลยด้วยซ้ำ เมื่อสังหารขุนนางเก่าที่ยึดตำแหน่งเหล่านี้ทิ้งไปก็เลื่อนผู้สอบเคอจวี่ที่มาจากตระกูลต่ำต้อยขึ้นแทนได้พอดี คนตระกูลขุนนางอย่าได้มองตนเองสูงไปนัก หลายหน้าที่ที่พวกเขาทำได้ คนตระกูลยากไร้ก็ทำได้ไม่ต่างกัน
หลี่เจาเกอย่างเท้าออกจากคุกหลวงของกองงานปราบปีศาจ เบื้องนอกสายลมประจิมพัดคำราม ปุยหิมะปลิวว่อน นางขึ้นขี่ม้าควบไปสู่จวนองค์หญิง ปุยหิมะเล็กละเอียดตีกระทบใบหน้า ให้สัมผัสเย็นวะวาบ
นางรู้สึกว่าน่าขัน ชาติก่อนนางคือดาบเล่มนั้น โฉมหน้าที่คนสกุลเผยแสดงต่อนางไม่ใช่เช่นนี้โดยสิ้นเชิง ตอนนี้ในใจของตระกูลขุนนาง…นางถึงกับกลายเป็นผู้กอบกู้ไปเสียได้
ชะตาชีวิตคนเรา…ประชดประชันกันโดยแท้
ยามหลี่เจาเกอกลับถึงจวนองค์หญิง ภายในจวนเงียบเชียบ เรือนหลักจุดโคมสว่าง แลมองแต่ไกลดุจดังประภาคารนำทาง กู้หมิงเค่ออ่านตำราอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงเปิดประตูก็พลิกหน้ากระดาษไปหนึ่งแผ่น เอ่ยอย่างรู้ชัด “ท่านกลับมาแล้ว”
“อืม” หลี่เจาเกอปลดเสื้อคลุมกันลม สาวใช้รีบเดินขึ้นหน้ามารับไว้ เรียงแถวกันมาผลัดเปลี่ยนชุดให้นาง
กู้หมิงเค่อรินน้ำชาหนึ่งถ้วย วางลงที่ฝั่งตรงข้ามของเขาก่อนถาม “เป็นอย่างไรบ้าง”
“พาคนออกมาแล้ว” หลี่เจาเกอเปลี่ยนเป็นชุดหรูฉวินอันอบอุ่นคล่องตัว นั่งลงตรงข้ามกับกู้หมิงเค่อ ยามที่นางยกถ้วยน้ำชาขึ้น ความร้อนในถ้วยเหมาะจะดื่มพอดี เขาเห็นนางหลุบตาเนิ่นนานไม่พูดจาจึงเอ่ยถามนาง “เป็นอะไรไป ดูท่านอารมณ์ไม่ค่อยดี”
“ไม่มีอะไรหรอก” หลี่เจาเกอวางถ้วยน้ำชาลง ทอดถอนใจยาว “ท่านว่า…อะไรคือวิถีแห่งราชัน”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 ม.ค. 68