กู้หมิงเค่อกล่าว “ความจริงท่านไม่ต้องทำเช่นนี้ สกุลเผยมีบุญคุณต่อข้า แต่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับท่าน”
หลี่เจาเกอเอามือเท้าคางมองเขาพลางบ่นเบาๆ “ท่านเองก็ไม่เห็นข้าเป็นคนกันเองสักนิด”
กู้หมิงเค่ออึ้งงัน ลำคอตีบตันสักพักก็ยอมแพ้ “ได้ ท่านพูดถูกต้อง”
หลี่เจาเกออมยิ้ม นางยื่นมือกดหว่างคิ้ว พลันรู้สึกอ่อนล้าอยู่บ้าง “ท่านว่า…ฆ่าผู้บริสุทธิ์เพื่ออำนาจมันถูกต้องหรือ”
ชาติก่อนนางนึกว่าถูกต้อง ดังนั้นนางจึงสังหารน้องชาย น้องสาว รวมถึงมารดา เพื่ออำนาจแล้วไม่เลือกวิธีการ ทว่าตอนนี้นางเริ่มลังเลแล้ว
กู้หมิงเค่อมองนางอย่างสงบและผ่อนปรน “ท่านอยากจะพูดว่าอะไร”
หลี่เจาเกอถอนใจยาวหนึ่งที เอนพิงตั่งช้าๆ ก่อนหลับตากล่าว “เพียงอ้างว่าครอบครองอำนาจแล้วจะสร้างประโยชน์สุขแก่ผู้คนได้มากขึ้นก็ปล่อยปละให้ตนเองไปฆ่าคน เช่นนั้นรอจนได้กุมอำนาจ ไม่ยิ่งมีข้ออ้างฆ่าคนมากกว่าเดิมหรือไร เพื่อหลักการอันเลื่อนลอยก็คร่าชีวิตผู้อื่นอย่างสมเหตุสมผลได้แล้วหรือ”
กู้หมิงเค่อประหลาดใจอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่านางจะถามสิ่งเหล่านี้ ปุถุชนผู้อยู่ในเหตุการณ์มักจะเข่นฆ่ากันเพื่ออำนาจผลประโยชน์ส่วนตนโดยไม่เคยสงสัยในตนเอง มีแต่กระโดดออกจากวังวนนี้ ยืนบนที่สูงก้มมองลงไปจึงจะไตร่ตรองว่าพฤติกรรมเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่
ความคิดอ่านของนางเริ่มหลุดพ้นจากปุถุชนมากขึ้นตามลำดับ เขาปลื้มใจยิ่งนัก มีเพียงความคิดอ่านอยู่เหนือความรักส่วนตนกับความเห็นแก่ตัว พลังอันกล้าแข็งที่มีอยู่จึงจะเกิดประโยชน์ หาไม่ตราบทั้งชีวิตของนางจะเป็นได้เพียงองค์หญิงผู้มีวรยุทธ์ล้ำเลิศในแดนมนุษย์ผู้หนึ่งก็เท่านั้น
กู้หมิงเค่อกล่าว “นี่ต้องดูว่าสำหรับใคร ทุกคนมักรู้สึกว่าตนเองมีอิสระมีสติสัมปชัญญะ แต่แท้ที่จริงไม่มีใครมองโลกตามความเป็นจริงได้ทั้งหมด ทุกความคิดอ่านของพวกเราตั้งอยู่บนมุมมองของตนเองทั้งสิ้น สำหรับตระกูลขุนนาง…เจ้าเหนือหัวที่ให้เกียรติผู้มีความสามารถ ปกครองแบบวางมือคือราชันผู้ปรีชา สำหรับราษฎร…ลดอากรลดเกณฑ์แรงงาน ถึงขั้นไม่มีฮ่องเต้เลยต่างหากคือยุคสมัยอันประเสริฐ สำหรับประมุขแผ่นดิน…รวบอำนาจไว้ทั้งหมด ขุนนางราษฎรทั่วหล้าล้วนอยู่ในโอวาทจึงจะเรียกได้ว่าเป็นราชันผู้ปรีชา ท่านถามว่าอย่างใดคือราชันผู้ปรีชา จึงขึ้นอยู่กับว่าท่านมองจากมุมของใคร”
หลี่เจาเกอไม่ขยับเป็นนาน วาจาของกู้หมิงเค่อช่างขบถนัก ถึงกับกล้าบอกว่าสำหรับราษฎรแล้วไม่มีฮ่องเต้ต่างหากจึงจะเป็นยุคทองที่แท้จริง กระนั้นนางก็รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมาไม่ผิด ความอยากได้อยากมีของคนเราไร้ที่สิ้นสุด ต่อให้เป็นฮ่องเต้ที่มาจากรากหญ้า ก่อนจะครองราชย์เคยเห็นอกเห็นใจราษฎรสามัญสักเพียงใด เมื่อได้ครองราชย์แล้วความคิดก็เปลี่ยนไปทั้งนั้น อยากจะเสพสุขกับอาภรณ์หรูหราอาหารเลิศรส อยากจะครอบครองสามพันคนงาม อยากจะให้ทายาทรุ่นหลังเป็นฮ่องเต้ไปชั่วลูกชั่วหลาน หรือถึงขั้นอยากจะเป็นอมตะไม่แก่เฒ่า
ยกตัวอย่างคดีคิดกบฏอันครึกโครมหนนี้ ฮ่องเต้มารดาของนาง เชื้อพระวงศ์สกุลหลี่ ตระกูลขุนนางเก่า ตระกูลชนชั้นล่าง ไม่มีผู้ใดทำผิดเลย ทว่าผลลัพธ์ท้ายสุดกลับเป็นเลือดนองพันหลี่ ผู้คนนับไม่ถ้วนบ้านแตกสาแหรกขาด
หลี่เจาเกอปวดศีรษะจนต้องแตะขมับตนเองพลางถาม “มันเป็นเช่นนี้มาตลอดเลยหรือ”
กู้หมิงเค่อเหม่อลอยอยู่บ้าง เขานึกถึงเรื่องในอดีตอันไกลโพ้น ผ่านไปเนิ่นนานค่อยตอบนางเสียงเบา “ใช่ มันเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด”
“อย่างนั้นใครถูกใครผิดเล่า”
กู้หมิงเค่ออดยิ้มไม่ได้ ลุกไปนั่งฝั่งเดียวกับนาง ย้ายนิ้วมือนางที่กำลังแตะขมับออก ดึงนางที่เอนหลังอยู่ขึ้นมานั่งแล้วบอกนางว่า “วันนี้ท่านเอาแต่ตั้งโจทย์ยากใส่ข้า กลับไปนอนพักเถิด เลิกคิดมาก”
“ท่านเชี่ยวชาญการตัดสินคดีที่สุดนี่นา แม้แต่ท่านก็ไม่รู้หรือ”
“เด็กโง่” กู้หมิงเค่อประคองไหล่นาง คล้ายถอนใจคล้ายไม่ได้ถอนใจ “ตัดสินผิดถูกของคนผู้หนึ่งนั้นง่าย ตัดสินผิดถูกของบ้านเมืองหนึ่งนั้นยากเหลือเกิน”
เข่นฆ่าขุนนางราษฎรของบ้านเมืองอื่นเพื่อความอยู่รอด ถูกหรือผิด สละคนส่วนน้อยเพื่อคนส่วนใหญ่ของบ้านเมือง ถูกหรือผิด ส่งผลดีต่อปัจจุบันทว่าส่งผลร้ายไปพันปี ถูกหรือผิดกันเล่า