กู้หมิงเค่อไม่รู้ หลี่เจาเกอเองก็ไม่รู้ นางไม่อยากจะเผชิญหน้าความจริงจึงหลับตาเสียเลย เอียงศีรษะซบไหล่เขา นางวิ่งรอกอยู่ตั้งนาน ง่วงเพลียไม่น้อยจริงๆ กู้หมิงเค่อรอสักพัก ค่อยแตะศีรษะนางพร้อมกับดันนิดๆ “กลับไปนอน”
เขาไม่ยอมให้นางซบ นางจะซบให้ได้! คิดแล้วนางก็ใช้สองมือควบคุมข้อมือเขาไว้ ทำราวกับกำลังต่อสู้กัน กดศีรษะลงบนไหล่เขาอย่างดุดัน พอข้อมือเขาออกแรงนิดๆ นางก็ยึดจับไว้แรงกว่าเดิม เขารอครู่หนึ่งก่อนถาม “ศีรษะท่านกดติดเช่นนี้สบายหรือ”
ว่ากันตามความสัตย์ไม่ค่อยสบายหรอก แต่หลี่เจาเกอไม่ขอยอมแพ้ ยังคงเอ่ยอย่างมั่นใจในเหตุผล “เมื่อครู่ข้าเอนนอนบนตั่งอยู่ดีๆ เป็นท่านเองที่ดึงข้าขึ้นมา ตอนนี้แค่ยืมหัวไหล่ท่านพิงครู่เดียว ท่านก็ยังไม่ยินยอม?”
“ในเมื่อท่านไม่กลัวคอเคล็ด อย่างนั้นก็ตามใจท่าน” กู้หมิงเค่อคร้านจะยุ่มย่ามกับนาง ไหนๆ ผู้ที่ไม่สบายตัวก็ไม่ใช่เขาเสียหน่อย ทีแรกสุดหลี่เจาเกอขึงเกร็งทั้งร่าง ลำคอซบไหล่กู้หมิงเค่ออย่างแข็งทื่อ ไม่ทันไรก็ยืดคอจนเมื่อย ครั้นเห็นเขาผ่อนคลายมือโดยสิ้นเชิงแล้ว นางจึงค่อยๆ ผ่อนแรงที่ยึดจับข้อมือเขา ลอบปรับมุมของลำคอค่อยรู้สึกสบายขึ้นเสียที
ขณะหลี่เจาเกอซบจนเริ่มจะเคลิ้มหลับ พลันรู้สึกว่าลำคอคันยุบยิบจึงลืมตาขึ้นทันใด สองมือยึดกุมสิ่งคุกคามไว้โดยสัญชาตญาณ เมื่อนางได้สติเต็มที่ก็พบว่าเป็นกู้หมิงเค่อถือขนนกเส้นหนึ่งแอบเขี่ยลำคอนาง
นางขึงตาใส่เขาอย่างมีน้ำโห “ท่านทำอะไรน่ะ”
“ข้ากลัวว่าท่านจะหลับไป” เขากล่าว “นอนหลับตรงนี้ไม่ดีต่อแผ่นหลัง หากง่วงแล้วกลับไปนอนบนเตียงเถิด”
“ไม่มีท่าน ข้าถึงจะนอนได้สบายขึ้น!” หลี่เจาเกอฉุนเฉียวชิงขนนกในมือเขามาปาทิ้งแรงๆ กระทั่งเห็นขนนกลอยละล่องลงถึงพื้น กู้หมิงเค่อค่อยเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ตนเองหัวเสียกลับพาลใส่สิ่งของ คงจะไม่ดีกระมัง”
“อย่างนั้นเชื่อหรือไม่ว่าข้าพาลใส่ท่านได้” หลี่เจาเกออารมณ์พลุ่งพล่านจนพลาดคอเคล็ด
กู้หมิงเค่อรีบประคองลำคอนางจากทางด้านหลัง นวดคลึงให้อย่างเนิบช้า “บอกแล้วว่านอนเช่นนั้นจะคอเจ็บได้ ท่านก็ดื้อไม่เชื่อ”
หลี่เจาเกอยังคงแค่นเสียงฮึอันเย็นชา “หุบปากเลย ใครใช้ให้ท่านเอาขนนกมาแกล้งข้า ตอนนี้ข้าแค่เห็นขนนกก็อารมณ์เสีย”
กู้หมิงเค่อถาม “ยังหานกฉงหมิงไม่เจอ?”
“ก็ยังน่ะสิ” หลี่เจาเกอถอนใจ “ข้าส่งคนไปสืบที่ต่างเมืองแล้ว นกตัวนั้นชาวนาเฒ่าผู้หนึ่งจับได้จากบนภูเขาจริงๆ เขาบอกว่าตอนจับได้ มันมีลูกตาดำข้างละสองลูก สีขนสดสวย ขนหางมีห้าสี สุ้มเสียงไพเราะกังวาน เขารู้สึกว่านกตัวนี้ไม่ใช่สิ่งสามัญจึงส่งมอบให้ราชสำนัก ลักษณะจำเพาะที่โดดเด่นเพียงนี้หาไม่เจอได้อย่างไรกันนะ”
กู้หมิงเค่อฟังจบก็นิ่งไปชั่วครู่ก่อนกล่าว “ต้นไม้ยามวสันต์ผลิยามสารทโรย ทุกปีหญ้าป่ามีเหี่ยวเฉามีงอกงาม สัตว์บกสัตว์ปีกก็ใช่ว่าจะเป็นสีเดิมตลอดทั้งปี”
“ท่านหมายความว่า…”
“พลังคือแหล่งกำเนิด ขนนกเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ท่านยึดติดกับรูปลักษณ์มากเกินไปอาจจะถูกตบตาเอาได้”
ในห้วงความคิดของหลี่เจาเกอคล้ายมีบางสิ่งวาบผ่าน ก่อนหน้านี้นางนึกว่าอู่หยวนชิ่งเล่นตุกติก ทว่าชาวนาเฒ่ากับคนรอบข้างในหมู่บ้านล้วนเป็นพยานได้ว่าอู่หยวนชิ่งรับนกวิเศษไปตัวหนึ่งจริงๆ นางสืบอ้อมไปหนึ่งวงกลับวกมาที่จุดเริ่มต้นอีกครา หลายวันมานี้จึงกลุ้มใจถึงขีดสุด แต่หากโยนการคาดเดาที่คิดเพิ่มมาทั้งหมดทิ้งไป กล่าวคืออู่หยวนชิ่งกำนัลนกวิเศษเข้าวังไปตัวหนึ่งจริงและเวรยามเฝ้าประตูวังไม่เคยเห็นใครพานกออกมาจริง เช่นนั้นนกฉงหมิงก็ควรจะอยู่ในวัง
รูปลักษณ์ภายนอกอาจเปลี่ยนแปลงไป ทว่าการมีนกเพิ่มมาอีกตัวนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่มีทางจะเปลี่ยนได้ ในวังมีสถานที่ใดพบสิ่งที่เพิ่มเกินมาหรือไม่นะ…
ดวงตาของหลี่เจาเกอพลันเบิกโต ไก่ขนโกร๋นตัวนั้น! ใช่แล้ว นางสะเพร่าได้อย่างไรกัน ด้วยมุมมองความงามของคนในวังจะเลี้ยงไก่ขี้เหร่เช่นนั้นได้อย่างไรเล่า
มันก็คือนกฉงหมิงที่ขนร่วงนั่นเอง!