วันรุ่งขึ้นหลังเลิกงาน ไป๋เชียนเฮ่อพาอีกสองคนมาดูนกฉงหมิงที่จวนองค์หญิง โม่หลินหลางนั่งบนเบาะ มองดูเนื้ออวบขาวของเจ้าไก่ เนิ่นนานไร้ถ้อยคำ
ไป๋เชียนเฮ่อยื่นหน้ามาพูดใกล้โม่หลินหลาง “เจ้าดู ข้าพูดไม่ผิดสินะ มันขี้เหร่มากล่ะสิ”
“ยั้งปากไว้หน่อย” หลี่เจาเกอเอ่ยเรียบๆ “มันฟังภาษาคนออกนะ”
ไป๋เชียนเฮ่อตื่นตกใจ นัยน์ตาเบิกโต มีเพียงโจวเซ่าที่จนแล้วจนรอดยังห่วงใยเรื่องงานอยู่ “มันมีลูกตาดำข้างละสองลูกจริงน่ะหรือ”
หลี่เจาเกอจิบน้ำชาหนึ่งคำ ผงกศีรษะอย่างไม่อินังขังขอบ “ดูให้ละเอียด มีอยู่”
โจวเซ่าอุทาน สัตว์วิเศษหายากในตำนานถึงกับดำรงอยู่จริง หากวันใดมีมังกรหนึ่งตัวมาปรากฏกายตรงหน้าเขา เขาก็จะไม่แปลกใจแล้ว
โม่หลินหลางไม่รู้ว่าควรพูดอันใดดี “ดังนั้นที่พวกเราวุ่นวายมาตั้งครึ่งปี ความจริงแล้วมันอยู่ใต้เปลือกตาพวกเรานี่เอง เหตุใดมันกลายเป็นสภาพนี้ได้เล่า”
“นี่เป็นวงจรตามธรรมชาติของนกฉงหมิง ก็เหมือนฤดูผลัดขนของสุนัขกับแมวนั่นล่ะ เพียงแต่ของมันผลัดเกลี้ยงเกลาไปสักหน่อย”
โม่หลินหลางเป็นใบ้ไร้คำพูด ผ่านไปสักพักค่อยถามต่อ “แล้วเหตุใดมันหลุดจากกรงได้”
“เพราะลูกกุญแจของอู่หยวนชิ่ง” หลี่เจาเกอกล่าว “เขาเคยเปิดกรงนกต่อหน้าผู้คน ลูกกุญแจของเขาเสียบคาไว้จึงถูกนกฉงหมิงลอบกลืนลงท้องไปตั้งแต่ตอนนั้น น่าเสียดายเจ้าคนโง่นั่นจนป่านนี้ก็ยังไม่รู้ตัว”
ไป๋เชียนเฮ่อยัดขนมเข้าปากในคำเดียว ปัดๆ มือก่อนถาม “องค์หญิง ถัดจากนี้พวกเราต้องทำอย่างไร”
“กู้หมิงเค่อบอกว่ามันจะหยุดผลัดขนในไม่กี่วันนี้ อีกไม่ช้าขนก็จะงอกใหม่ รอจนมันดูดีอีกสักนิดค่อยส่งขึ้นไปถวายฝ่าบาท เผื่อส่งไปตอนนี้จะถูกคนพวกนั้นหาว่าพวกเราเอาของปลอมมาตบตา”
อันที่จริงนี่เป็นเพียงสาเหตุหนึ่ง ยังมีอีกปัจจัยที่สำคัญยิ่งกว่า…ความจริงแล้วฮ่องเต้ใช้นกฉงหมิงเป็นข้ออ้างบังหน้า ถือโอกาสกำจัดผู้เห็นต่าง หาไม่หลี่เจาเกอเสียเวลาตั้งหกเจ็ดเดือนไม่เจอนกฉงหมิงเสียที ฮ่องเต้จะไม่ร้อนใจไม่เร่งรัดเลยได้อย่างไรกัน
หลี่เจาเกอจึงตั้งใจว่าจะรออีกหลายวัน กระทั่งฮ่องเต้เอาเรื่องไปพอสมควรแล้วก็จะถวายนกฉงหมิง ยุติการกวาดล้างทางการเมืองอันยาวนานหนนี้เสีย
อีกสองคนพากันพยักหน้า มีเพียงไป๋เชียนเฮ่อที่จับประเด็นสำคัญได้ “ราชบุตรเขยบอก?”
หลี่เจาเกอชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยทันทีชนิดหน้าไม่เปลี่ยนสี “เขาอ่านตำรามาก เจอข้อมูลจากตำราโบราณน่ะ”
ไป๋เชียนเฮ่อร้องอ้อยาวเหยียด ไม่รู้ว่าเชื่อแล้วใช่หรือไม่ เขากะพริบตาก่อนจะพลันยื่นหน้ามายักคิ้วหลิ่วตาให้หลี่เจาเกอ “องค์หญิง ได้ยินว่าเมื่อวานท่านไปพาคนจากคุกนครบาลมาขังที่คุกหลวงของกองงานปราบปีศาจ ทั้งยังห้ามไม่ให้ใครเข้าเยี่ยม ตอนนี้นกฉงหมิงหาพบแล้ว จะทำอย่างไรกับสองคนนั้นเล่า”
“ขังไปสิ รีบร้อนอะไร” หลี่เจาเกอไม่แยแส “รอจนนกฉงหมิงขนงอกสมบูรณ์เมื่อไรค่อยปล่อยพวกเขาออกมาเมื่อนั้น”
ไป๋เชียนเฮ่อจุปาก แอบแลกเปลี่ยนสายตากับอีกสองคนที่เหลือ หลี่เจาเกอกระทำการ…ทั้งเหี้ยมทั้งเฉียบจริงๆ
ในเมืองหลวงมีตระกูลขุนนางตั้งมากมายพลอยฟ้าพลอยฝน เว้นแต่สกุลเผยที่เป็นเครือญาติกับกู้หมิงเค่อจึงถูกพาตัวไปอยู่ห้องขังที่ปลอดภัย ทว่าก็เพียงแค่นี้เท่านั้น
ไหลจวิ้นเฉินกำแหงถึงเพียงใด เมื่อวานหลี่เจาเกอพาคนจากไปต่อหน้าต่อตา ไหลจวิ้นเฉินกลับไม่กล้าแม้แต่จะผายลม ฮ่องเต้เองก็ไม่ได้ว่าอันใดทั้งสิ้น เห็นทีรองตุลาการกู้ต่างหากคือบุคคลที่ตอแยด้วยไม่ได้ที่สุดในราชธานีตะวันออก