วันสิ้นปีของรัชศกฉุยก่งปีที่หนึ่งผ่านพ้นไปอย่างเงียบเชียบและแสนไร้รสชาติ ทุกบ้านทุกช่องล้วนอกสั่นขวัญผวา ไหนเลยจะมีแก่ใจเตรียมการฉลอง กระทั่งถึงปีใหม่ต้นฤดูวสันต์แนวโน้มการกวาดล้างจึงบรรเทาเบาบางลงในที่สุด เดือนสององค์หญิงเซิ่งหยวนถวายนกฉงหมิงที่สูญหายไปแล้วได้คืนกลับมา นกฉงหมิงมีสีแดงเข้มดุจเพลิง ขนหางถึงกับงามวิจิตรยิ่งกว่ากาลก่อน นางไม่ได้ใช้กรงนก พามันเข้าตำหนักไปอย่างเป็นธรรมชาติ เพียงนางสะบัดมือเบาๆ หนึ่งทีมันก็สยายปีกทะยานสูง ปากเปล่งเสียงร้องอันเพราะพริ้งก้องกังวาน
นกฉงหมิงสุ้มเสียงดั่งหงส์ หมู่วิหคเบื้องนอกพากันขานรับ ชั่วขณะนั้นภาพเหตุการณ์ ‘ร้อยวิหคคำนับหงส์’ อันเป็นมงคลพลันปรากฏขึ้น ฮ่องเต้กับเหล่าขุนนางล้วนถูกภาพเหตุการณ์นี้สะกดให้ตะลึงค้าง นกฉงหมิงบินวนในตำหนักหลายรอบ ก่อนพุ่งตัวออกจากตำหนักกระพือปีกเหินขึ้นสู่ที่สูง
อู่หยวนชิ่งเห็นเช่นนั้นก็รีบตะโกนโหวกเหวก “จับมันไว้เร็วเข้า อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้”
หลี่เจาเกอกลับยกมือทูลฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท นกฉงหมิงเฉกเช่นนกหงส์และนกหลวน ล้วนเป็นนกวิเศษ นกวิเศษไม่พึงบังคับกักขังในกรง มิสู้ให้มันหวนคืนพงไพร ปล่อยตามอิสระ นับแต่นี้มันโบยบินอยู่เหนือแผ่นดินต้าโจว ย่อมปกปักรักษาสกุลอู่ราชวงศ์โจวอยู่เป็นนิจ”
อู่หยวนชิ่งยังคงไม่ยินยอม ผิดกับฮ่องเต้ที่นิ่งมองนกฉงหมิงกระพือปีกบินขึ้นสูง พระองค์ไม่ฝืนดึงดันอีก เอ่ยเพียงว่า “เอาเถิด เดิมทีฟ้าดินก็ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงมัน ในเมื่อมันไม่ชอบถูกจำกัดผูกมัด เช่นนั้นปล่อยให้มันมีอิสระแล้วกัน”
ฮ่องเต้ชี้ขาดแล้ว อู่หยวนชิ่งแม้จำต้องหุบปาก ทว่าใจยังคิดเรื่องนี้อยู่ ยิ่งคิดยิ่งอารมณ์เสีย เขาต่างหากคือผู้ถวายนกฉงหมิงแต่แรก หลี่เจาเกอถือสิทธิ์อันใดบอกปล่อยเป็นปล่อย ยืมดอกไม้ถวายพระ ได้เก่งนักนะ นางเป็นฝ่ายเสนอปล่อยนกวิเศษ กลับกลายเป็นเขาอู่หยวนชิ่งแลดูไม่รู้กาลเทศะ
เหตุตั้งต้นที่ฮ่องเต้ใช้กวาดล้างราชสำนักครั้งใหญ่นี้ก็คือการสูญหายไปของนกฉงหมิง ตอนนี้นกฉงหมิงหาพบแล้ว ขืนยังไล่เบี้ยเรื่องคิดกบฏต่อก็จะแลดูกัดไม่ปล่อยจนเกินเหตุ ครั้นนกฉงหมิงบินไปจากผืนฟ้าของนครลั่วหยาง คดีคิดกบฏอันครึกโครมในรัชศกฉุยก่งจึงปิดฉากลงตามไปด้วย
ช่วงที่ผ่านมาท่านอ๋องกับองค์หญิงมากมายถูกพระราชทานความตาย พวกขุนนางใหญ่ดีกว่าเล็กน้อย ถึงกระนั้นผู้ที่ถูกเนรเทศและริบทรัพย์ก็มีนับไม่ถ้วน จ่างซุนอวี่ออกจากคุกแล้ว เขาถูกตัดสินว่ารู้เห็นกับการคิดกบฏ ยังดีฮ่องเต้เห็นใจ ไม่ได้ลงโทษตัดศีรษะเขา หากแต่เนรเทศไปเมืองเฉียนโจว บุตรชายทั้งหมดของเขาต่างก็ถูกถอดตำแหน่งและเนรเทศไปคนละทิศคนละทาง
สภาพในต่างเมืองไม่อาจเทียบกับนครฉางอันและลั่วหยาง บิดากับบุตรชายจากกันครานี้อาจไม่ได้พบหน้ากันอีก คนสกุลจ่างซุนจึงเตรียมออกเดินทางด้วยสีหน้าอมทุกข์ วงศ์ตระกูลอื่นที่ถูกพยับเมฆปกคลุมเช่นเดียวกันก็มีจำนวนไม่ใช่น้อย
สกุลเผยแม้ได้ล้างข้อกล่าวหา แต่ก็ถูกสกุลจ่างซุนทำให้เดือดร้อนไปด้วยอยู่ดี เผยซือเหลียนถูกลดขั้นไปเป็นเจ้าเมืองอวิ๋นโจว ต้องเดินทางไปรับตำแหน่งในไม่ช้า ครอบครัวเกาจื่อฮั่นเองก็ไม่อาจโชคดีรอดพ้น ตงหยางจ่างกงจู่กับสามีถูกเนรเทศไปเมืองอูโจวพร้อมบุตรชายหลานชาย เกาจื่อฮั่นเป็นห่วงว่าเดินทางลำบากจึงยืนกรานจะส่งบิดามารดาไปเมืองอูโจว
วันที่เกาจื่อฮั่นจะไปจากเมืองหลวงนั้นเป็นวันที่อากาศดีแสงแดดสดใสวันหนึ่ง นางนั่งอยู่ในรถม้ารอออกจากเมือง แถวขบวนเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า ได้ยินชาวบ้านด้านนอกพูดคุยกันเป็นพักๆ “ฝ่าบาทมีพระราชโองการลดอากรปีนี้ลงสามส่วน บ้านที่มีผู้เฒ่าผู้แก่อายุห้าสิบขึ้นไปยังไปที่ว่าการอำเภอรับเบี้ยอายุยืนได้อีกนะ”
“ถูกต้อง ฝ่าบาทยังให้เปิดโรงเลี้ยงเด็กอ่อนด้วย บ้านที่มีลูกป่วย พิการ หรือมีมากจนเลี้ยงไม่ไหวล้วนส่งไปที่โรงเลี้ยงเด็กอ่อนได้ ได้ยินว่าอีกไม่กี่วันราชธานีตะวันออกยังจะเปิดสำนักศึกษาหญิง รับสอนศิษย์หญิงโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หากใครมีความสามารถก็จะได้เข้าวังติดตามรับใช้ข้างกายฝ่าบาท ไม่แน่ยังจะได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนางหญิง”
“ขุนนางหญิง? จริงน่ะหรือ”
“จริงอยู่แล้ว องค์หญิงเซิ่งหยวนก็คือสตรีที่ได้เป็นขุนนางไม่ใช่หรือไร”
“โอ๊ะ ลูกสาวคนเล็กบ้านข้าใจสู้มาแต่เล็ก เพียงเสียดายบ้านข้าไม่มีเงิน ใช้แต่งภรรยาให้พี่ชายนางไปแล้ว หากสำนักศึกษาหญิงไม่เก็บค่าเล่าเรียน ข้าส่งลูกสาวคนเล็กไปลองดูก็ได้ใช่หรือไม่”
“ได้สิ ขอเพียงสอบผ่านก็เข้าเรียนในสำนักศึกษาหญิงได้เลย วันหน้าถ้าได้เข้าวังเป็นขุนนางหญิง ทางบ้านจะได้รับงดเว้นการเกณฑ์แรงงานด้วยนะ”
สาวใช้เรียกเบาๆ ข้างหูเกาจื่อฮั่น “คุณหนู?”
เกาจื่อฮั่นดึงสติคืนมา “มีอะไร”
“เมื่อครู่จ่างกงจู่ส่งคนมาแจ้งว่าใกล้จะถึงตาพวกเราออกจากเมืองแล้ว ให้คุณหนูเตรียมตัวเจ้าค่ะ”
เกาจื่อฮั่นพยักหน้ารับ นั่งอยู่ในตัวรถ ในใจรู้สึกสะทกสะท้อนยากจะพรรณนา