สำหรับพวกตน…อู่จ้าวคือผู้ปล้นแผ่นดิน คือผู้ปกครองที่โหดเหี้ยมผู้หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย มีคนสกุลหลี่มากเท่าใดต้องศีรษะหลุดจากบ่าเพียงเพราะความหวาดระแวงอันไร้ที่สิ้นสุดของนาง สำหรับขุนนางกับตระกูลชนชั้นสูง…นางก็ไม่ใช่คนดีเช่นกัน
ทั้งที่มือนางอาบไปด้วยโลหิตสดๆ แต่ราษฎรชนชั้นล่างกลับสดุดีในคุณความดีของนาง เกาจื่อฮั่นรู้สึกเลื่อนลอย ที่แท้โลกนี้เป็นแบบใดกันแน่นะ
ล้อรถหมุนไปแบบเคลื่อนๆ หยุดๆ ในที่สุดก็แล่นพ้นประตูเมือง เกาจื่อฮั่นกำลังจะอำลานครลั่วหยางแล้วจึงบังเกิดความหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
ตอนนี้เองมีเสียงเกือกม้าดังกุบกับมาจากด้านนอก เกาจื่อฮั่นราวถูกบางสิ่งดลใจให้เลิกม่านขึ้น ครั้นเห็นสตรีนางหนึ่งขี่ม้าทะยานออกจากประตูเมืองมา เกาจื่อฮั่นก็ตะลึงวูบ ผลักเปิดประตูรถทันที “เซิ่งหยวน?”
หลี่เจาเกอรั้งม้า หยุดหน้าขบวนรถสกุลเกาแล้วกระโดดลงจากม้าอย่างปราดเปรียว “ได้ยินว่าวันนี้ท่านป้ากับพี่หญิงเกาจะไปจากเมืองหลวง ข้าจึงมาส่งพวกท่านช่วงหนึ่ง”
เกาจื่อฮั่นนึกไม่ถึงเลย ในอดีตนางมีสหายนั่งเต็มโต๊ะจัดเลี้ยง มีแขกเหรื่อล้นประตูจวน แต่ภายหลังตกอับคนเหล่านั้นล้วนรีบตีตัวออกหาก สุดท้ายผู้ที่มาส่งครอบครัวนางกลับเป็นหลี่เจาเกอที่ไม่ได้ไปมาหาสู่กันสักเท่าใด
เกาจื่อฮั่นถอนใจ รู้ว่าฐานะของตนอ่อนไหว หลี่เจาเกอเจตนาดีออกมาส่งตน ทว่าหากพูดจากันนานไม่แคล้วสะกิดให้ฮ่องเต้หวาดระแวงเอาได้ เกาจื่อฮั่นจึงตอบว่า “ขอบใจนะ น้ำใจของเจ้าพวกเรารับไว้แล้ว เจ้ารีบกลับไปเถิด”
ตงหยางจ่างกงจู่ที่อยู่ด้านหน้าได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็เลิกม่านรถขึ้นดู หลี่เจาเกอจึงประสานมือไปทางตงหยางจ่างกงจู่ ถือเป็นการคำนับลา “ท่านป้า พี่หญิง ไปอูโจวเที่ยวนี้หนทางโคลงเคลง พวกท่านถนอมตัวด้วย”
ไม่รู้เพราะเหตุใดเกาจื่อฮั่นจึงขอบตาชื้นนิดๆ ต้องผินหน้าไปเช็ดน้ำตาให้แห้งก่อนกล่าว “ข้าจะดูแลท่านแม่ เจ้ากับรองตุลาการกู้อยู่ในเมืองหลวงก็ต้องถนอมตัวด้วยนะ”
หลี่เจาเกอพยักหน้ารับคำ สุดท้ายมองพวกนางอีกหนแล้วหมุนตัวขึ้นม้าจากไปอย่างสง่างามเฉกเช่นขามา เกาจื่อฮั่นสวมหมวกม่านแพร ยืนอยู่หน้ารถม้า มองเงาหลังของสตรีเบื้องหน้าผู้นั้นนานสองนาน
เมื่อหลายปีก่อน…คลับคล้ายว่าเป็นวันหนึ่งในฤดูวสันต์เช่นเดียวกันนี้ นางเชิญชวนสหายสตรีหลายคนมาเล่นฝูจีกัน ตอนนั้นเผยฉู่เยวี่ยกับหลี่ฉังเล่อสนิทแน่นแฟ้นดุจพี่น้อง จ่างซุนซันเหนียงกับจ่างซุนอู่เหนียงทะนงตัวถือดี เหล่าแม่นางน้อยมารวมตัวกัน คิ้วตาเอ่อท้นด้วยความเย่อหยิ่งฮึกเหิมอันอ่อนต่อโลก
บัดนี้…เกาจื่อฮั่นยืนกรานจะติดตามบิดามารดาไปเมืองอูโจว สามีกับมารดาสามีไม่พอใจอย่างยิ่ง เตรียมจะหย่าขาดนางแล้ว หลี่ฉังเล่อออกเรือนไปเป็นภรรยาของอู่หยวนชิ่ง ยังคงเป็นไข่มุกสกาวที่ผู้คนประจบเอาใจ เผยฉู่เยวี่ยแท้งบุตร เลือดลมพร่องหนัก ก่อนจะอำลาเมืองหลวงเกาจื่อฮั่นแวะไปเยี่ยมนางมา รูปโฉมนางไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าไฟในดวงตากลับไม่อาจลุกโชนขึ้นอีก ซ้ำตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยเอ่ยถึงหลี่ฉังเล่อแม้คำเดียว
จ่างซุนซันเหนียงกับจ่างซุนอู่เหนียงพลอยเดือดร้อนเพราะสกุลเดิม ผู้หนึ่งต้องหย่าร้าง ผู้หนึ่งต้องอ้างป่วย ตอนนั้นที่เล่นฝูจีด้วยกัน เหล่าแม่นางน้อยแสนจะไร้ทุกข์ไร้กังวล ยามนี้แต่ละคนกลับเคว้งคว้าง
มีเพียงหลี่เจาเกอที่ไม่เคยเปลี่ยนไป วันนั้นนางกระโดดขึ้นหอสูงไปช่วยตนจากผีร้ายตามลำพังโดยไม่ได้พกพาอาวุธใด วันนี้นางก็ออกจากเมืองหลวงมามือเปล่า เพียงเพื่อจะกล่าวอำลาตนที่เป็นทั้งญาติผู้พี่และสหายเก่าสักคำ
“คุณหนู…” สาวใช้ร้องเรียกอยู่ด้านหลังอย่างขลาดๆ
เกาจื่อฮั่นปล่อยม่านแพรบนหมวกลง มองหนสุดท้ายก่อนหมุนตัวกลับขึ้นรถ “ไปกันเถิด”
ต้นหญ้างอกงาม นกขมิ้นโบยบิน ท่ามกลางทิวทัศน์วสันต์เดือนสาม หอประตูเมืองลั่วหยางอันสูงใหญ่น่าเกรงขาม ตลอดจนดรุณีน้อยชุดขาวที่ขี่ม้าลำพัง ล้วนแปรเป็นภาพเงาอันห่างไกลอยู่เบื้องหลังของเกาจื่อฮั่น เกาจื่อฮั่นนั่งอยู่ในตัวรถ กล่าวอำลาต่อทุกสิ่งเบื้องหลังนั้นโดยไร้เสียง
ลาก่อน ราชธานีตะวันออก…วังหลวง…หลี่เจาเกอ
ชีวิตวัยดรุณีของนาง วันคืนในลั่วหยางของนางล้วนยุติลงแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 ม.ค. 68