หลี่เจาเกอนั่งตำแหน่งถัดลงไป ชายเสื้อนางกองระพื้นอย่างเป็นธรรมชาติ สองมือวางซ้อนบนหน้าตัก มองจากด้านข้างดูงามระหงสูงศักดิ์ นางตอบ “ตอนลูกจะออกจากวังบังเอิญเห็นองครักษ์เฝ้าประตูสอบถามคนผู้หนึ่งอยู่ ลูกรู้สึกว่าบุรุษผู้นี้ไม่คุ้นหน้าจึงพาเขาเข้ามาเพคะ”
จางเยี่ยนจือยืนนบนอบอยู่ข้างตำหนักโดยตลอด รอจนพวกเจ้านายเอ่ยถึงเขา เขาค่อยเดินขึ้นหน้ามาทำความเคารพ “กระหม่อมสามัญชนรากหญ้าถวายบังคมฝ่าบาท ถวายคำนับองค์หญิงเซิ่งหยวน ถวายคำนับองค์หญิงก่วงหนิง”
ฮ่องเต้มองพิจารณาบุรุษผู้นี้ แววตาเปี่ยมด้วยความสนใจ “เจ้าก็คือจางเยี่ยนจือ…พี่ชายของลิ่วหลาง?”
“ทูลฝ่าบาท คือพี่ชายกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ” เสียงกังวานชวนฟังของชายหนุ่มผู้หนึ่งดังมาจากหลังฉากบังลม ชายหนุ่มเจ้าของสองตาแวววาวกับรอยยิ้มละไมผู้นั้นเดินออกมายืนพิงข้างกายจางเยี่ยนจืออย่างสนิทสนม กล่าวออดอ้อนต่อฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ทอดพระเนตรสิพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้หลอกพระองค์กระมัง พี่ห้าหน้าตาชวนมองกว่ากระหม่อมมากนัก”
เห็นอยู่ว่าฮ่องเต้ไม่มีคำสั่ง เขากลับออกมาเองโดยพลการ การกระทำไร้ซึ่งความกริ่งเกรง หลี่เจาเกอขนลุกจนผิวเป็นตุ่มหนังไก่ ผิดกับฮ่องเต้ที่ถูกใจยิ่ง คลี่ยิ้มเอ่ยชม “รูปโฉมงามมากจริงเสียด้วย ได้ยินลิ่วหลางบอกว่าเจ้ายังแตกฉานการดนตรี เข้าใจบทกวี”
จางเยี่ยนจือก้มหน้าตอบ “มิกล้ารับ วัยเด็กเคยศึกษามาเล็กน้อยเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้กล่าวอย่างสนใจยิ่งยวด “เมื่อครู่ลิ่วหลางเอาแต่ร่ำร้องจะบรรเลงดนตรีกับเจ้า พอดีเลย ตรงนี้มีเครื่องดนตรีครบครัน พวกเจ้าไปลองดูสิ”
จางเยี่ยนจือสองพี่น้องเดินไปด้านหลังฉากบังลมเพื่อบรรเลงดนตรี จางเยี่ยนจือนั่งลงหลังพิณตัวหนึ่ง ปรับสายเสร็จเสียงพิณติ๊งๆ ก็เริ่มดังขึ้น ไม่ช้าเสียงพิณผีผาอันเร่งร้อนชัดใสก็สอดประสานเข้ามา
เสียงดนตรีดำเนินไป หลี่เจาเกอซึ่งนั่งอยู่ข้างตำแหน่งประธานได้ยินท่วงทำนองถนัดชัดเจน ทว่าผู้ที่บรรเลงอยู่หลังฉากบังลมกลับไม่อาจได้ยินคำสนทนาของพวกนาง หลี่เจาเกอสบช่องถามฮ่องเต้ว่า “สองคนนี้คือ…”
หลี่ฉังเล่อชิงตอบ “พวกเขาเคยเป็นทายาทตระกูลบัณฑิต ต่อมาวงศ์ตระกูลตกต่ำกลายมาเป็นคณิกาหลวง คนพี่เป็นลำดับห้าในหมู่พี่น้อง นามว่าจางเยี่ยนจือ คนน้องเป็นลำดับหก นามว่าจางเยี่ยนชาง พักนี้ข้าชอบฟังลำนำ คนเบื้องล่างกำนัลจางเยี่ยนชางมาให้ข้า ข้าเห็นว่าจางเยี่ยนชางคารมคมคาย สันทัดการดนตรี เป็นนักสร้างรอยยิ้มผู้หนึ่ง ครั้นนึกได้ว่าช่วงนี้เสด็จแม่บรรทมไม่สนิท หากมีคนอยู่ข้างกายคอยคลายกลุ้ม ไม่แน่อาจจะเข้าบรรทมได้ง่ายขึ้น ข้าจึงนำจางเยี่ยนชางมาถวายเสด็จแม่ จางเยี่ยนชางคิดถึงพี่ชาย บอกว่าพี่ชายน่ามองกว่า มีความสามารถกว่า ข้ารู้สึกว่าน่าสนใจจึงให้เสด็จแม่ทรงเรียกเข้ามาดู นึกไม่ถึงว่าเป็นคนงามจริงเสียด้วย”
หลี่เจาเกอไม่พูดจามองหลี่ฉังเล่อเงียบๆ นี่หลี่ฉังเล่อคิดจะเอาอย่างองค์หญิงหยางเออรักษาฐานะด้วยการกำนัลคนงามแก่ฮ่องเต้? ไม่หัดคิดดูเสียบ้างว่าสุดท้ายจ้าวอี๋จู่กับจ้าวเหอเต๋อลงเอยเยี่ยงไร
หลี่ฉังเล่อนั่งประจบออดอ้อนอยู่ข้างกายฮ่องเต้ “เสด็จแม่ ทรงเห็นว่าพี่น้องคู่นี้เป็นเช่นไรเพคะ”
ฮ่องเต้ผงกศีรษะยิ้มตอบ “คนพี่เงียบขรึมสุขุม คนน้องร่าเริงไม่ยอมแพ้ใคร เป็นคนที่น่าสนใจคู่หนึ่ง”
หลี่ฉังเล่อยิ้มหน้าบานกว่าเดิม “ในเมื่อน่าสนพระทัย เสด็จแม่ก็ทรงเก็บพวกเขาไว้ข้างกายเสียเลยแล้วกัน ในวังไม่มีเรื่องบันเทิงใจอันใด วันทั้งวันเจอแต่หนังสือกราบทูลกับขุนนางชรากลุ่มนั้น ต่อให้เสด็จแม่ไม่ทรงเหนื่อยก็ควรได้เปลี่ยนอารมณ์บ้าง”
ฮ่องเต้ครุ่นคิดไม่ตอบคำ หลี่ฉังเล่อเห็นเช่นนั้นก็พลันเอ่ยเบาลงอย่างมีลับลมคมใน “เสด็จแม่ สองพี่น้องนี้ล้วนมีสันจมูกโด่งเด่น โดยเฉพาะจางเยี่ยนจือ จมูกรูปถุงน้ำดี ทั้ง ‘โด่งใหญ่’ ทั้ง ‘ตั้งตรง’ ต้องโดดเด่นระดับหนึ่งในร้อยแน่นอน”
ฮ่องเต้ฟังถึงตอนท้ายก็เผยสีหน้าแจ้งใจ แม้ไม่ได้พูดจา ทว่าดูจากแววตาคือตอบรับแล้ว สองคนมารดากับบุตรสาวต่างรู้กันในใจ มีเพียงหลี่เจาเกอเลิกคิ้วด้วยความฉงน
มันอะไรกัน สองคนนี้ใบ้คำอะไรอยู่ ไฉนนางฟังไม่เข้าใจเลย