พี่น้องสกุลจางบรรเลงหนึ่งเพลงจบลง ฮ่องเต้ครึ้มอกครึ้มใจยิ่ง ถามพวกเขาว่ายังทำสิ่งใดได้อีก ดวงตาของจางเยี่ยนชางทอยิ้มจนดูวาววาม ตอบว่าหมากล้อม ซวงลู่ ว่อซั่ว ชูผู พวกเขาล้วนเล่นเป็น ฮ่องเต้จึงให้คนนำเครื่องมือเล่นซวงลู่ออกมาประลองฝีมือกับจางเยี่ยนจือ โดยมีนางข้าหลวง หลี่ฉังเล่อ กับจางเยี่ยนชางล้อมวงอยู่ด้านข้างคอยออกความคิด
หลี่เจาเกอรู้สึกเบื่อหน่ายจึงถือโอกาสทูลลา ปลีกตัวไปก่อน
ตอนนางออกจากประตูตำหนัก จางเยี่ยนจือเดินเบี้ยตัวหนึ่งลงบนกระดานแล้วเหลือบมองนางแวบหนึ่งอย่างเร็วไว
หลี่เจาเกอพกพาความฉงนไปตลอดทาง ครั้นกลับถึงจวนองค์หญิง พวกสาวใช้ก็มารายล้อมรับใช้หลี่เจาเกอพลางถามเสียงจ้อกแจ้ก “องค์หญิงเพคะ ได้ยินว่าวันนี้องค์หญิงก่วงหนิงส่งบุรุษผู้หนึ่งเข้าวัง เขารูปงามขาวผ่อง ดวงหน้าปานดอกบัว เป็นความจริงหรือไม่”
หลี่เจาเกอมองพวกนางอย่างแปลกใจ “พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรกัน”
พวกสาวใช้แย่งกันพูดว่า “พวกหม่อมฉันรู้หมดแล้ว องค์หญิงเพิ่งเสด็จออกจากวังมาได้เห็นคุณชายหกผู้นั้นแล้วใช่หรือไม่”
ข่าวซุบซิบที่ร้อนแรงจำพวกนี้มักถ่ายทอดจากหนึ่งสู่สิบ สิบสู่ร้อย แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว หลี่เจาเกอไม่อาจต้านคำรบเร้าจึงขบคิดเล็กน้อยก่อนติชมไปตามจริง “หน้าตาใช้ได้ การดนตรีไม่เลว”
หน้าตาใช้ได้…พวกสาวใช้ยืนออกัน ถามปนหัวเราะ “เช่นนั้นเปรียบกับราชบุตรเขยเล่า”
หลี่เจาเกอไม่หวั่นไหว ตอบไปตรงๆ “ทาบไม่ติด”
ขณะพวกสาวใช้รวมกลุ่มกันหัวเราะคิกคัก หลี่เจาเกอนึกอันใดขึ้นได้ ลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยช้าๆ “แต่…ข้าได้ยินมาว่าจุดเด่นที่แท้จริงของเขากับพี่ชายไม่ได้อยู่ที่การดนตรี อยู่ที่สันจมูกต่างหาก”
พวกสาวใช้ฟังจบล้วนงุนงง “นี่หมายความเช่นไรเพคะ”
หลี่เจาเกอไม่เข้าใจเช่นกันจึงทวนคำพูดของหลี่ฉังเล่อออกมา “ผู้แนะนำบอกว่า…เขามีจมูกรูปถุงน้ำดี ทั้งโด่งใหญ่ทั้งตั้งตรง ต้องโดดเด่นระดับหนึ่งในร้อย”
จบคำหลี่เจาเกอยังคงไม่เข้าใจว่าเป็นหนึ่งในร้อยตรงที่ใด แต่สาวใช้บางคนกลับขยิบตา ร้องอ๋อแบบแฝงนัยลึกล้ำ “จริงทีเดียว”
หลี่เจาเกอเงียบงัน ชักจะสงสัยในตนเองว่าเล่าเรียนมาน้อยเกินไปหรือไร เหตุใดแม้แต่สาวใช้ยังรู้ นางกลับไม่รู้เสียอย่างนั้น มีสาวใช้อายุน้อยบางคนไม่เข้าใจเช่นกัน ต่างรีบถามว่า “เพราะเหตุใดเล่า”
สาวใช้ที่ร้องอ๋อกลับยิ้มเย้า ส่ายหน้าไม่ตอบคำ สาวใช้ที่อ่อนกว่าจึงโผเข้าไปจักจี้ แกล้งอีกฝ่ายเป็นพัลวัน สุดท้ายอีกฝ่ายต้านไม่ไหวยอมเฉลยออกมา “ร่างกายพวกเจ้ายังไม่ทันโตสมบูรณ์เลย จะรีบอยากรู้เรื่องพวกนี้เพื่ออะไร จมูกบุรุษทั้งโด่งทั้งอิ่ม…บ่งชี้ว่าเครื่องเพศทั้งแกร่งทั้งใหญ่น่ะสิ”
หลี่เจาเกอหวิดจะสำลักน้ำลายตนเอง ตกตะลึงจนเบิกตาโต สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ว่าอะไรนะ”
สาวใช้เอ่ยคำพูดเหล่านี้ต่อหน้ากลุ่มคน รู้สึกตะขิดตะขวงอยู่บ้าง “หม่อมฉันไม่รู้เช่นกัน แต่คนในวังล้วนพูดกันเช่นนี้เพคะ”
หลี่เจาเกอย้อนนึกถึงสีหน้าในตอนนั้นของหลี่ฉังเล่อกับฮ่องเต้ค่อยยอมเชื่อ เดิมทีนางรู้สึกงุนงง ตอนนี้ฟังคำอธิบายของสาวใช้จบก็ยิ่งงุนงงกับที่มาที่ไป
นางจึงเอ่ยคำถามที่อยู่ในใจออกมา “เพราะเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้”
“ไม่เพราะเหตุใดโดยทั่วไปล้วนเป็นเช่นนี้เอง” เมื่อมีคนผู้หนึ่งเปิดประเด็น คนอื่นๆ ก็พากันคุยเจี๊ยวจ๊าว “รูปร่างก็ด้วยนะ หากวัยหนุ่มน้อยมีรูปร่างอ้วน โดยทั่วไปวันหน้าล้วนไร้น้ำยา”
“ยังมีนิ้วมืออีก บุรุษนิ้วมือยาว ปกติส่วนนั้นก็จะยาว”
“ที่เจ้าว่านี่ไม่แม่น ดูที่ส่วนต่างระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วนางต่างหาก ยิ่งต่างกันน้อย ส่วนนั้นจึงจะยิ่งยาว”
พวกสาวใช้พูดกันโขมงโฉงเฉง ยิ่งพูดยิ่งลืมตัว หลี่เจาเกอฟังไปก็ยกมือตนเองขึ้นมา ลอบพิจารณาความยาวของนิ้วมือโดยละเอียด
อัศจรรย์เพียงนี้เชียวหรือ
ขณะที่นางกำลังประหลาดใจอยู่นั้นพลันได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่ห้องด้านในรางๆ จึงเงยหน้าถาม “ตรงประตูมีคนใช่หรือไม่”
สาวใช้ชะโงกศีรษะมอง “เหมือนว่าไม่มีนะเพคะ”
หลี่เจาเกอเม้มปาก กระแอมหนึ่งที ก่อนเอ่ยขึงขัง “เอาล่ะ อย่ามัวพูดเหลวไหลอยู่ตรงนี้ ออกไปกันได้แล้ว”
พวกสาวใช้ขานรับโดยพร้อมเพรียง ประสานมือถอยออกไป รอจนคนทั้งหมดออกไปแล้ว หลี่เจาเกอนั่งต่อครู่หนึ่ง กระทั่งแน่ใจว่าไอร้อนบนใบหน้าสลายสิ้น ค่อยเดินเข้าห้องด้านในไปอย่างเยือกเย็น
กู้หมิงเค่ออยู่ด้านในจริงๆ เสียด้วย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 ม.ค. 68