บทที่ 132 หลบร้อน
ครั้นแลเห็นกู้หมิงเค่อ ทั้งที่หลี่เจาเกอแสนจะกระดากอายก็ยังต้องแสร้งทำทีสงบ ถามเขาไปว่า “ท่านกลับมาจากสกุลเผยแล้ว?”
กู้หมิงเค่อขานว่าอืมเบาๆ คำเดียว จากนั้นไม่มีคำพูดอื่นอีก
หลี่เจาเกอไม่กล้านึกภาพเลยว่าเมื่อครู่เขาได้ยินไปกี่มากน้อย นางพยายามเลี่ยงหัวข้อสนทนา ทำเสมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น “คนสกุลเผยยังสบายดีหรือไม่”
ถามจบแม้แต่นางเองก็ยังอยากจะกรีดร้อง คนสกุลเผยสบายดีหรือไม่ เกี่ยวอันใดกับนางเล่า
ภายใต้ความพยายามของหลี่เจาเกอ บรรยากาศยิ่งประดักประเดิดขึ้นไปอีก ลำบากกู้หมิงเค่อยังอุตส่าห์ตอบหน้าตาจริงจัง “เสนาบดีเผยจะออกเดินทางไปอวิ๋นโจวในไม่กี่วันนี้ เผยจี้อันจะเดินทางไปด้วย ฮูหยินผู้เฒ่าเผยตั้งใจจะกลับภูมิลำเนา ท่านแม่ข้าก็จะกลับไปพร้อมกัน ฮูหยินผู้เฒ่าเผยยังฝากให้ข้ามาบอกขอบคุณท่าน พวกเขาอยากจะกล่าวขอบคุณท่านต่อหน้า น่าเสียดายหาโอกาสไม่ได้มาโดยตลอด”
หลี่เจาเกอพยักหน้าส่งๆ “ไม่ต้องขอบคุณหรอก เดิมทีก็ไม่ได้ทำเพื่อพวกเขา”
กู้หมิงเค่อพยักหน้ารับ ความกระอักกระอ่วนอันบางเบาปกคลุมอยู่ระหว่างคนทั้งสอง หลี่เจาเกอไม่ถามว่าเขากลับมาตั้งแต่เมื่อใด กู้หมิงเค่อเองก็ไม่ถามว่าเมื่อครู่พวกนางสนทนาอันใดกัน
เพียงนึกถึงเนื้อหาที่เมื่อครู่ได้ยิน กู้หมิงเค่อก็รู้สึกตกตะลึงพรึงเพริด มนุษย์สตรีแอบถกเรื่องพวกนี้กันเชียวหรือ
หลายปีมานี้แดนมนุษย์พัฒนาเร็วเกินเหตุไปแล้ว
กู้หมิงเค่อเอ่ยถึงคดีที่ส่งไปกองงานปราบปีศาจเมื่อเช้า หลี่เจาเกอลอบเบาใจ ถือโอกาสสนทนาเรื่องงานกับเขา นางเองก็ไม่รู้ว่าเป็นอันใดไป สายตาจึงเลื่อนไถลไปที่นิ้วมือของเขา ในหัวผุดคำพูดของสาวใช้เมื่อครู่อย่างไม่อาจควบคุมได้
หลี่เจาเกอเบนสายตาอย่างขัดเขิน ครั้นสายตาเลื่อนผ่านแก้มเขาไปก็พลันสังเกตเห็นจมูกที่เป็นสันโด่งเด่น ยอดจมูกประณีต ชวนมองกว่าของจางเยี่ยนจือหลายเท่าตัว นางเม้มปากแน่น กลั้นใจจนหน้าแดงซ่าน รีบมองไปทางอื่นอย่างร้อนตัว คิดด้วยความสิ้นหวัง…จบกัน ต่อไปนางไม่มีทางจะมองคนผู้หนึ่งอย่างผ่าเผยได้อีกแล้ว
สองจางได้รับความโปรดปราน ผู้คนทั้งในนอกราชสำนักสัมผัสถึงเรื่องนี้ได้ทันที เพราะวันเดียวกับที่สองจางได้เข้าเฝ้า ฮ่องเต้ก็อวยยศจางเยี่ยนชางเป็นแม่ทัพอวิ๋นฮุย* ตำแหน่งงานเป็นแม่ทัพเชียนหนิวซ้ายแต่งตั้งจางเยี่ยนจือเป็นรองผู้บัญชาการทหารวังหลวง รวมถึงพระราชทานคฤหาสน์ บ่าวไพร่ และแพรพรรณ จากนั้นผ่านไปอีกเพียงสามวันก็เลื่อนจางเยี่ยนชางเป็นอิ๋นชิงกวงลู่ต้าฟูอนุญาตให้พวกเขาสองพี่น้องเข้าประชุมในท้องพระโรงพร้อมกับขุนนางราชสำนักทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าของเดือน
ภายในครึ่งเดือนอำนาจของสองจางก็ขยายใหญ่โต อู่หยวนชิ่งคล้ายลืมไปสิ้นว่าจางเยี่ยนชางเดิมเป็นชายบำเรอที่ถูกกำนัลให้หลี่ฉังเล่อ รีบผูกไมตรีอันดีกับสองจาง คารวะสุรากันไปมาจนสนิทชิดเชื้อดุจพี่น้อง ขุนนางอื่นได้ข่าวต่างแห่มาประจบประแจง ทุกวันหน้าประตูจวนสกุลจางมีรถม้าแน่นถนน แขกเหรื่อล้นประตู จางเยี่ยนชางไม่ว่าไปที่ใดล้วนมีทะเลมนุษย์ห้อมล้อมรอบกาย
ภายในกองงานปราบปีศาจ ไป๋เชียนเฮ่อเบาเสียงลง เอ่ยประชดกับโจวเซ่า “กล่าวกันว่าพวกนิสัยเสียมักถูกชะตากัน เมื่อก่อนข้ายังไม่เชื่อ ตอนนี้ดูแล้วเป็นคำกล่าวที่มีเหตุผลไม่น้อยจริงๆ คนถ่อยไหลจวิ้นเฉินสนิทกับพี่น้องสกุลจางคู่นั้นมาก พักนี้ยังเป็นแขกประจำของจวนเว่ยอ๋องกับเหลียงอ๋อง หึๆ ข้าว่าพวกเขาช่างถูกชะตากันเสียนี่กระไร”
ไป๋เชียนเฮ่อกับโจวเซ่า แม้ผู้หนึ่งเป็นหัวขโมย ผู้หนึ่งเป็นโจร ทว่าก็ยึดถือกฎยุทธภพ ในชีวิตทำสิ่งผิดได้ กลับมิอาจสิ้นไร้คุณธรรม พวกเขาดูแคลนพฤติกรรมของบรรดาคนถ่อยเป็นที่สุด แต่พักนี้กลับจะต้องเจอครบทุกรูปแบบ