กู้หมิงเค่อก็ย้ายมาที่วังตากอากาศนี่ด้วย วังตากอากาศมีพื้นที่จำกัด ไม่อาจเทียบกับราชธานีตะวันออก ตำหนักที่พักของหลี่เจาเกอเล็กกว่าจวนองค์หญิงหลายเท่าตัว พวกสาวใช้จากจวนองค์หญิงกำลังวิ่งวุ่นเข้าออก จัดวางสัมภาระ ส่วนหลี่เจาเกอนั่งรับลมอยู่ริมหน้าต่าง จิบน้ำชาหนึ่งคำเบาๆ ค่อยสังเกตเห็นว่าเครื่องนอนของนางกับกู้หมิงเค่อวางอยู่ด้วยกัน
ดวงตานางเบิกโต เพ่งมองไปทางนั้นไม่เลิกรา สีหน้าบ่งบอกว่าอยากจะพูดแต่ก็ไม่สะดวกใจจะเอ่ยปาก สายตานางชัดเจนเหลือเกินจริงๆ กู้หมิงเค่อจึงหันไปมองตามนางแล้วเอ่ยว่า “วังตากอากาศมีพื้นที่จำกัด เตียงนอนไม่สบายเท่าจวนองค์หญิง ท่านอดทนหน่อยแล้วกัน”
ปัญหาอยู่ที่เตียงนอนหรือ เมื่อก่อนใช่ว่าหลี่เจาเกอไม่เคยใช้ชีวิตลำบาก ให้นางนอนบนไม้กระดานก็ไม่เป็นปัญหา แต่นี่…
หมอนกับผ้าห่มของกู้หมิงเค่อ เหตุใดมาวางอยู่บนเตียงเดียวกันเล่า เดิมทีเตียงนั่นก็ไม่กว้างขวาง เครื่องนอนสองชุดวางลงไปแทบจะชิดติดกันเลย
หลี่เจาเกอไม่รู้ว่ากู้หมิงเค่อไม่ทันสังเกตหรือไม่ติดใจ ท่าทางสงบผ่อนคลายของเขาทำให้นางลำคอตีบตันพูดไม่ออก นางมีใจจะสั่งให้สาวใช้ย้ายเครื่องนอน ทว่ารอบข้างมีคนผ่านไปผ่านมา หลายคนเป็นบ่าวตำหนักอื่น หลี่เจาเกอจะนอนคนละเตียงกับกู้หมิงเค่อแม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด แต่หากเข้าหูของผู้อื่นก็จะยุ่งยากอยู่บ้าง นางไม่อาจพูด ได้แต่เบิกตามองสาวใช้จัดวางผ้าห่มแพรไว้คู่กัน ทั้งปัดผ้าห่มให้อย่างเอาใจใส่
หลี่เจาเกอหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง ไม่กล้านึกภาพว่าคืนนี้จะเป็นเหตุการณ์เช่นไร ตลอดมานับแต่วันที่นางสนทนากับสาวใช้เรื่องนั้นแล้วถูกกู้หมิงเค่อได้ยินเข้า นางก็ใกล้จะตายด้วยความกระดากอายอยู่รอมร่อ
นางกำนัลชุดเหลืองผู้หนึ่งสาวเท้าเดินเข้ามาคารวะหลี่เจาเกอกับกู้หมิงเค่อ “องค์หญิงเซิ่งหยวน ราชบุตรเขย เย็นนี้ยามโหย่วฝ่าบาททรงจัดเลี้ยง ขอองค์หญิงกับราชบุตรเขยโปรดไปร่วมงานตรงเวลา”
หลี่เจาเกอผงกศีรษะเป็นความหมายว่ารู้แล้ว ในวังตากอากาศไม่ต้องพิถีพิถันเรื่องห้ามออกนอกเคหสถานยามวิกาล ทั้งไม่มีกฎระเบียบยุบยับเช่นในเมืองหลวง แต่ไรมาจึงเป็นสถานที่หย่อนใจที่ชนชั้นสูงชื่นชอบที่สุด หลี่เจาเกอนึกภาพได้เลยว่าสองเดือนนี้จะต้องบรรเลงดนตรีทุกราตรี ผู้คนจะเคลิบเคลิ้มมัวเมากันถึงขั้นใด
ตลอดมาคนในวังมีธรรมเนียมที่จะออกจากเมืองหลวงมาหลบร้อน ทว่าหลายปีก่อนเกาจงฮ่องเต้สุขภาพไม่ดี ไม่อาจไปจากเมืองหลวง ปีที่แล้วก็มีเหตุวุ่นวายต่อเนื่อง จวบจนฤดูคิมหันต์ของปีนี้ค่อยสงบลงอย่างแท้จริง เมื่อชีวิตมั่นคงคนในวังจึงเริ่มเสพสุขกันอีกครา
หลี่เจาเกออยู่ในตำหนัก รอจนอาทิตย์อัสดงจึงเปลี่ยนชุดไปร่วมงานเลี้ยงพร้อมกับกู้หมิงเค่อ นางกับเขาเพิ่งมาที่วังตากอากาศแห่งนี้เป็นหนแรก ระหว่างทางนางกำนัลผู้นำทางจึงแนะนำสถานที่ให้ด้วยความยินดี “องค์หญิง ราชบุตรเขย นี่คืออุทยานไม้ดอก นี่คือทะเลสาบ ทว่าฝั่งตรงข้ามคือตำหนักที่ประทับของฝ่าบาทจึงไม่อนุญาตให้หย่อนใจในทะเลสาบนี้ หากองค์หญิงกับราชบุตรเขยต้องการจะรับลมสามารถไปไกลอีกหน่อย บนภูเขาด้านหลังมีตาน้ำพุธรรมชาติกับทุ่งหญ้าผืนใหญ่ หากเที่ยวชมจนพอแล้วยังสามารถขี่ม้ายิงธนูบนทุ่งหญ้าได้เพคะ”
หลี่เจาเกอผงกศีรษะรับ ในใจรู้ว่าตนเองจะไม่ไปหรอก ในตำหนักมีกู้หมิงเค่ออยู่ ไม่ต้องกังวลสักนิดว่าจะร้อนอบอ้าว
หลี่เจาเกอกับกู้หมิงเค่อไปถึงตรงเวลาพอดี ตอนไปถึงมีคนเล่นสนุกอยู่ในโถงจัดเลี้ยงแล้ว จางเยี่ยนชางกับอู่หยวนชิ่งเล่นซวงลู่กันอยู่ นางข้าหลวงคนสนิทที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุดเขย่าลูกเต๋าให้พวกเขาเองกับมือ หลี่ฉังเล่ออยู่ด้านข้างคอยจดจำนวนเบี้ย มีคนไม่น้อยรายล้อม ส่งเสียงหยอกเย้าไม่ขาด
พอหลี่เจาเกอกับกู้หมิงเค่อเดินเข้าไป บรรยากาศครึกครื้นก็หยุดชะงัก ผู้คนพากันคารวะคนทั้งสอง หลี่เจาเกอไม่ใช่คนไร้ตาพรรค์นั้นจึงตั้งมือยับยั้ง “วันนี้เป็นงานเลี้ยงส่วนตัว ไม่ต้องเกรงใจ เล่นต่อไปเถิด”
แม้หลี่เจาเกอกล่าวเช่นนี้ แต่ไม่ทันไรการเดินหมากกลับยังคงยุติลง ผู้คนแยกย้ายไปนั่งที่ หลี่เจาเกอกับกู้หมิงเค่อเดินไปถึงที่นั่งของพวกตนแล้วนั่งลง นางจัดชายกระโปรงเสร็จก็ยื่นหน้ามาเอ่ยกับเขาเสียงเบา “พวกเราสองคนเหมือนมาจับบ่อนเลย พอเข้ามานักเล่นก็แตกฮือ”
จบคำนางก็ปรบมือหนึ่งที “จะว่าไปกองงานปราบปีศาจกับศาลต้าหลี่ก็มีความสามารถนี้จริงเสียด้วย”