ไม่รู้คำพูดประโยคนี้จี้ถูกเส้นใดเข้า กู้หมิงเค่อพลันหัวเราะอย่างไม่อาจหักห้ามตนเอง มือข้างหนึ่งหนุนหว่างคิ้ว หน้าอกกระเพื่อมเบาๆ หัวเราะอยู่เป็นนานก็ยังหยุดไม่ได้
หลี่เจาเกอนั่งเงียบ มองดูเขาหัวเราะสักพักค่อยถามด้วยความงุนงงอยู่บ้าง “น่าขบขันมากหรือ”
กู้หมิงเค่อโบกมือให้นาง ยังคงหัวเราะจนพูดไม่ออก หลี่เจาเกอรินน้ำชาถ้วยหนึ่ง วางใส่ในอุ้งมือเขา “ท่านพอสมควรได้แล้วนะ”
ความเคลื่อนไหวของสองคนทางนี้ดึงดูดความสนใจของผู้อื่นแต่แรก จางเยี่ยนจือมองดูครู่หนึ่งก่อนยิ้มถาม “องค์หญิงเซิ่งหยวนตรัสอันใดกับราชบุตรเขย ไฉนสองท่านเบิกบานเพียงนี้”
หลี่เจาเกอเองก็ฉงนยิ่งนัก นางแค่นเสียงฮึอย่างไม่ชอบใจ “ไม่รู้สิ เขาคงจะชอบจับบ่อนเป็นพิเศษ”
เดิมทีกู้หมิงเค่อกลั้นหัวเราะได้แล้ว ฟังมาถึงตรงนี้ดันหลุดหัวเราะออกมาอีก ทำเอาหลี่เจาเกอชักจะมีน้ำโห “ท่านรู้จักจบสิ้นบ้างหรือไม่”
กู้หมิงเค่อยื่นมือไปวางบนหลังมือนาง สูดหายใจเข้าลึกๆ กล้อมแกล้มข่มกลั้น “ไม่มีอะไร เพียงรู้สึกว่าคำบรรยายเมื่อครู่ของท่าน…น่าเอ็นดูยิ่งนัก”
สายตาเย็นๆ ของหลี่เจาเกอจรดมองเขา ไม่เข้าใจจุดที่เขาขบขันเลยสักนิด นางข้าหลวงผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้างต่อบทสนทนา “องค์หญิงเซิ่งหยวนกับตุลาการใหญ่กู้ผูกพันกันดีจริงเชียว หม่อมฉันรับใช้อยู่ในวังมานานป่านนี้ยังไม่เคยเห็นตุลาการใหญ่กู้หัวเราะเลย นึกไม่ถึงว่านอกเวลางานตุลาการใหญ่กู้จะโอนอ่อนผ่อนตามองค์หญิงเพียงนี้”
นางข้าหลวงกล่าวจบมีผู้เอ่ยคล้อยตามเพียงเล็กน้อย คนที่เหลือล้วนไม่พูดจา ในโอกาสเช่นนี้หลี่ฉังเล่อต้องนั่งคู่กับอู่หยวนชิ่ง นางเหลือบมองคนข้างกายตนเองปราดหนึ่ง แม้แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็คร้านจะปั้น สวีซื่อกำลังมองหลี่เจาเกออย่างอิจฉา ตนเองแต่งกับอู่หยวนเซี่ยวแบบคลุมถุงชน สามีภรรยาปฏิบัติต่อกันเช่นอาคันตุกะ ไม่เคยมีแม้แต่ความรู้สึกอันละมุนละไม ย่อมไม่อาจนึกภาพความสัมพันธ์ที่ฝ่ายหนึ่งพูดเปรยประโยคเดียวก็ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะได้เป็นนาน เดิมทีจางเยี่ยนจือพกพาเจตนาที่ยากจะอธิบายมาชวนหลี่เจาเกอสนทนา ทว่าหลังบทสนทนาเขากลับอารมณ์ขุ่นมัว
จางเยี่ยนจือลอบพิจารณากู้หมิงเค่อ ผู้อื่นล้วนกล่าวว่าเขาจางเยี่ยนจือนั้นคล้ายพระสวามีขององค์หญิงเซิ่งหยวน ที่ผ่านมาเขายังไม่เคยได้พบกู้หมิงเค่อ เพียงฟังผู้อื่นพูดบ่อยเข้าก็พาให้รู้สึกไปว่าตนเองน่าจะไม่ด้อยกว่าราชบุตรเขยกู้ กระทั่งวันนี้ได้เห็นอีกฝ่ายพลันทำให้เขาบังเกิดความอับอายที่ไม่อาจทาบติด
มีราชบุตรเขยตัวจริงเป็นเช่นนี้ มิน่าเล่าวันนั้นพบกันนางจึงไม่แม้แต่จะแลเขาซ้ำสอง
จางเยี่ยนชางติดพี่ชายมากที่สุด เขาค้นพบแต่แรกว่าความสนใจของพี่ชายเบนไปทางอื่นถี่ยิ่ง พอตอนนี้เห็นกับตาว่าพี่ชายชวนสตรีนางหนึ่งพูดคุย เขาก็ไม่ชอบใจ รีบโวยวายว่า “ไฉนฝ่าบาทยังไม่เสด็จ ข้าหิวแล้วนะ”
ทันทีที่เขากล่าววาจา ความสนใจในโถงก็มารวมอยู่ที่ตัวเขา หลี่เจาเกอเห็นจนชาชิน จางเยี่ยนชางผู้นี้นิสัยเป็นเด็กๆ ขี้โวยวายตื่นตูม ฮ่องเต้กลับชมชอบเสียอย่างนั้น
แม้ตามมุมมองของหลี่เจาเกอแล้ว นางรู้สึกว่าจางเยี่ยนจือน่ามองกว่าเล็กน้อย ต่างจากฮ่องเต้ที่โปรดจางเยี่ยนชางมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ว่าอย่างไรสองคนนี้ก็ไม่ใช่บุรุษที่กำนัลมาให้นางเสียหน่อย นางไม่ไยดีอยู่แล้ว ฮ่องเต้จะโปรดคนใดก็โปรดไปสิ
ครั้นฮ่องเต้ได้ยินนางข้าหลวงมารายงานก็หัวเราะดังฮ่าๆ รุดมาถึงโถงจัดเลี้ยงแล้วสั่งเปิดงานโดยไม่รั้งรอ บนเวทีเสียงดนตรีดำเนินไป ทว่าจางเยี่ยนชางกับสองพี่น้องสกุลอู่เอ็ดตะโรไม่หยุดหย่อน อาหารมื้อนี้หลี่เจาเกอจึงต้องกินด้วยความอดทนยิ่งยวด
สุดท้ายนางเหลืออด บ่นออกมาเบาๆ “หนวกหูจริง”
กู้หมิงเค่ออาศัยการรินน้ำชาให้นาง บดบังรูปปากของนางไว้ “ท่านระวังหน่อย จะถูกผู้อื่นได้ยินเข้า”
หลี่เจาเกอเม้มปาก แววดุร้ายเอ่อท้นดวงตา นางถูกเสียงคนพวกนั้นกวนใจจนไม่อยากอาหาร ไม่ทันไรก็วางตะเกียบลง ตอนนี้ท่วงทำนองเพลงเปลี่ยนไป นางกำนัลในชุดพลิ้วไหวสีรุ้งเดินลงจากเวที สลับเป็นกลุ่มบุรุษในชุดขนห่านสีขาวขึ้นมาแทน
หลี่เจาเกอเป่าน้ำชาช้าๆ รอคอยอย่างแสนเบื่อหน่าย คิดเสียว่าอยู่เป็นเพื่อนให้ฮ่องเต้ได้สนุกเต็มอารมณ์แล้วกัน ครั้นเสียงกลองดังขึ้น กลุ่มบุรุษก็เริ่มระบำ หลี่เจาเกอก้มหน้าดื่มน้ำชาหนึ่งคำ ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด
ต้าถังรวมถึงต้าโจวนิยมการร้องรำ ไม่ว่าเพศใดวัยใดล้วนร้องรำทำเพลงได้พอตัว ไม่มีฝีมือด้านโคลงกลอนเครื่องดนตรีติดตัวสักนิดก็ไม่มีหน้าจะออกจากบ้านมาร่วมงานเลี้ยง ดังนั้นในงานเลี้ยงจะมีการแสดงของบุรุษเสริมบรรยากาศจึงเป็นเรื่องปกติยิ่ง
หลี่เจาเกอไม่ได้เตรียมใจแม้แต่น้อย เงยหน้าขึ้นก็เห็นบุรุษกลุ่มนั้นเปลื้องชุดขนห่านสีขาวชั้นนอกออกพอดี เปิดเผยซับในอันบางเบาแล้วเริ่มบิดส่ายอย่างอ่อนช้อยเย้ายวน หลี่เจาเกอสำลักน้ำชาทันใด รีบเบือนหน้าไปไอค่อกแค่ก